การเลือกยางรถตักที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่การใช้งานมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเราเลือกยางให้ถูกต้องกับสภาพพื้นที่แล้วจะช่วยให้การใช้งานสามารถประหยัดเวลาและเงินทุนได้อย่างมาก สำหรับยางรถตักชนิดเรเดียลมีราคาค่อนข้างแพงกว่ายางผ้าใบทั่วไป แต่อาจจะช่วยให้ความสามารถในการทำงานของรถตักดีขึ้นและช่วยให้ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นลดลงได้ ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติของยางเรเดียลให้แรงฉุดที่ดีและน้ำหนักเบากว่ายางผ้าใบ จึงช่วยให้ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ยางเรเดียลยังให้การควบคุมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ความเร็วสูงเพราะยางจะมั่นคงกว่ายางชนิดผ้าใบอยู่มาก นอกจากนี้ความต้านทานการหมุนต่ำช่วยให้ผู้ใช้รถตักใช้งานได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งตัวยางไม่สะสมร้อนเมื่อมีใช้งานต่อเนื่องและใช้งานด้วยความเร็วสูง และช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง
ยางรถตักชนิดเรเดียล เหมาะสำหรับการใช้งานที่ฉุดการสึกหรอของดอกยาง มีระยะทางเป็นปัจจัยสำคัญ และใช้งานบนพื้นผิวเรียบมากกว่ายางผ้าใบ แต่หากผู้ใช้กำลังมองหายางที่ใช้งานได้ดีในพื้นที่ขรุขระ ใช้งานในเหมือง มีความเสี่ยงที่แก้มยางจะโดนตัด บาด หรือทิ่มตำจากสิ่งของมีคม ควรพิจารณาเลือกใช้ยางผ้าใบ เนื่องด้วยยางผ้าใบมีแก้มยางด้านข้างหนา ราคาประหยัด และเหมาะสำหรับใช้งานในระยะทางสั้นๆ
หลังจากพิจารณาการเลือกใช้ชนิดของยางให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ดีที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกลายดอกยางหรือการออกแบบยาง ดอกยางรถตักมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ในการใช้งานรถตักทั่วไปการออกแบบจะเป็นดอกยางชนิด L2 หรือ L3
โดยยาง L2 จะให้แรงฉุดสูงและความสามารถในการสะบัดเศษหิน ดิน ทรายได้ดี เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ดินโคลน หรือพื้นที่อ่อนนุ่ม
ดอกยาง L3 มีความทนทานต่อหิน กรวด เหมาะกับใช้งานบนพื้นผิวขรุะขระและมีอุปสรรคมากว่าการใช้งานรถตักทั่วไป แต่หากมองหาดอกยางสำหรับใช้งานเพื่อนำไปใช้งานในเหมืองขนาดใหญ่ดอกยางที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่าได้แก่ ดอกยางชนิด L5 หรือ L5S ซึ่งมีความลึกของดอกยางลึกมาก เพิ่มความทนทานต่อการใช้งานและให้อายุการใช้งานยาวนานอีกด้วย
แม้ว่าดอกยางชนิด L4 และ L5 จะมีราคาแพงกว่าดอกยางชนิดที่ต่ำกว่า แต่เมื่อเราคำนวณค่าใช้จ่ายในการใช้งานจริง หากมีการใช้งานตลอดทั้งวัน และต้องการลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยาง หากยางแตกหรือยางระเบิดขณะใช้งาน อาจทำให้งานเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งในส่วนนี้การลงทุนกับยางที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระการใช้งานอีกทั้งประหยัดเงินลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย
ยางทั่วไปจะมีอายุการใช้งานอยู่ช่วง 2,000 และ 3,500 ชั่วโมง แต่ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ยางที่ใช้งานในเหมืองหินจะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่ายางที่ใช้งานทั่วไปบนพื้นผิวเรียบ
ผู้ใช้งานควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษายางเป็นประจำทุกวัน รวมถึงการตรวจเช็คความดันลมยาง เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของยาง และหากยางมีความดันลมยางต่ำอาจ เมื่อนำไปใช้งานอาจทำให้ยางเกิดความเสียหายได้ อีกทั้งท่านต้องแน่ใจว่าไม่ได้เติมลมยางให้มีความดันลมสูงเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ยางจะระเบิดขณะใช้งาน และทำให้เปลืองน้ำมันและดอกยางสึกหรอไม่เท่ากันอีกด้วย
EmoticonEmoticon