เรียนรู้-เข้าใจ สัญญาณไฟจากรถบรรทุก

เรียนรู้-เข้าใจ สัญญาณไฟจากรถบรรทุก

สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนในยามค่ำคืน ที่เดินทางต่างจังหวัดบ่อยๆ มักจะพบเจอกับบรรดารถบรรทุก รถทัวร์ รถโดยสาร เป็นเพื่อนร่วมทางอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเราขับรถเข้าใกล้รัศมีของรถบรรทุกเหล่านั้น รถบรรทุกมักจะเปิดไฟเป็นสํญญาณลักษณะต่างๆ โดยการเปิดไฟกระพริบ ไฟสูง ไฟเลี้ยว บางท่านที่ยังไม่ทราบความหมายอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! เค้าเปิดไฟแบบนี้ ต้องการบอกอะไรกับเรานะ? บทความนี้เราจะมาไขความหมายถึงสัญญาณไฟลักษณะต่างๆ ที่พี่รถบรรทุกคันใหญ่ยักษ์ส่งมาให้ได้ทราบกัน

ภาพลักษณ์ของรถบรรทุกขนาดใหญ่มักออกมาในทางลบจากเหตุการณ์อุบัติเหตุต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นโดยมีรถบรรทุก หรือเรียกกันติดปากว่า "สิบล้อ" ร่วมอยู่ในอุบัติเหตุเหล่านั้น แต่จะมีใครทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้วก็ยังมีพี่สิบล้อใจดีอีกมากมายที่คอยส่งสัญญาณไฟ เพื่อบอกและเตือนให้ทราบถึงเส้นทางข้างหน้า และบอกถึงสถานะการณ์ปัจจุบันในการขับขี่กับผู้ร่วมทางอย่างเราๆ



ระวัง!!
เมื่อไหร่ที่สังเกตเห็นรถบรรทุกคันหน้าให้สัญญาณเป็นลักษณะไฟเลี้ยวซ้ายที-ขวาที สลับกัน นั่นหมายความว่าเขากำลังส่งสัญญาณบอกให้เราระวัง เพราะเขากำลังจะเบรก ทางข้างหน้าอาจมีด่านหรือเกิดอุบัติเหตุอยู่ เพราะฉะนั้นให้เราชะลอความเร็ว วิ่งด้วยความเร็วต่ำ และห้ามแซง

ให้ทาง
หากเราขับรถตามพี่สิบล้อคันใหญ่ แล้วรู้สึกว่ารถบรรทุกคันหน้าวิ่งช้า และกำลังตัดสินใจจะแซง ขณะที่เราจะแซงนั่นสังเกตเห็นว่า รถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวซ้ายทั้งที่ไม่มีทางแยกหรือทีท่าจะเลี้ยวแต่อย่างใด นั่นหมายถึงเขากำลังบอกเราว่า ทางข้างหน้าปลอดภัย สามารถแซงออกขวาได้

ห้ามแซง
ถ้าเป็นเหตุการณ์เหมือนข้อที่แล้ว ที่เราคิดจะแซงรถบรรทุก แล้วมีสัญญาณไฟเลี้ยวขวากระพริบขึ้นมา นั่นแสดงว่าเขาจะบอกเราเป็นนัยๆ ว่าห้ามแซง อาจมีโค้ง หรือมีรถสวนมา หรืออาจมีอุปสรรคอยู่ข้างหน้า ไม่ควรที่จะแซง ถ้าแซงอาจทำให้แซงไม่พ้น ให้รอก่อน และเมื่อพี่สิบล้อคันข้างหน้าเห็นว่าทางสะดวกสามารถแซงได้ ก็จะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายส่งสัญญาณให้เราแซงได้อย่างสะดวกในเวลาต่อมา

ของทางหน่อย จะตรงไป
กรณีคุณขับรถตามรถบรรทุกที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรตรงสี่แยก แล้วสังเกตเห็นรถบรรทุกเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน นั่นก็หมายความว่า เขากำลังจะตรงไป หากคันหลังจะตรงก็ตามมาได้เลย แต่ถ้าหากคันหลังต้องการจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาก็สามารถเลี้ยวได้ตามสะดวก

ช่วยส่องไฟ
ในการเดินทางในยามค่ำคืน เราอาจะพบกับสภาพท้องฟ้าปิด ทำให้ถนนและเส้นทางที่เรากำลังเดินทางนั้นมืดสนิท ทัศนวิสัยต่ำมองเห็นเส้นทางค่อนข้างลำบาก และเมื่อเราพบกับพี่สิบล้ออยู่ข้างหน้า และเรากำลังจะแซง ในบางครั้งอาจพบว่ารถบรรทุกเปิดไฟสูง สาเหตุก็เพื่อเป็นการส่องทางข้างหน้าช่วยให้เราเห็นเส้นทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเปิดค้างไว้จนกว่าเราจะแซงรถบรรทุกพ้น และจะดับไฟสูงลงเมื่อเรากลับเข้าเลนได้ ถ้าเราเจอคนขับน่ารักๆแบบนี้ เมื่อแซงพ้นแล้วก็บีบแตรสั้นๆ ขอบคุณสักนิด เขาก็จะบีบแตรตอบกลับมา...ซึ่งการใช้รถใช้ถนนแบบนี้ ถือเป็นผู้ร่วมทางที่น่ารักมากเลยทีเดียว

ข้างหน้ามีเหตุ
ในกรณีที่เราวิ่งสวนทางกับรถบรรทุก แล้วพี่สิบล้อส่งสัญญาณไฟโดยดับไฟหน้าและเปิดขึ้น แสดงว่าเขากำลังบอกเราว่าทางข้างหน้ามีด่านหรืออุบัติเหตุรุนแรงให้ชะลอความเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย หรือให้เราเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ข้างหน้าด้วย

เช็คเพื่อนร่วมทาง
หากเห็นรถบรรทุกวิ่งสวนมา แล้วกะพริบไฟสูง 1 ครั้ง มี 2 กรณีคือ เตือนรถที่วิ่งสวนทางกันมา หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีด่านหรืออุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างปกติดี ก็กะพริบไฟหน้าตอบเขาไป 1 ครั้ง แต่หากมีด่านหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นก็ให้ดับไฟหน้าและเปิดขึ้น เหมือนกรณีข้างหน้ามีเหตุ เพื่อเป็นการเตือนพี่สิบล้อให้เตรียมพร้อมกับทางข้างหน้า

ข้างหน้ามีด่าน
หากเห็นรถบรรทุกคันที่สวนมา อยู่ดีๆ กะพริบไฟหน้าพร้อมเปิดไฟเลี้ยวมาทางฝั่งเรา นั่นแสดงว่าข้างหน้ามีด่าน ให้เตรียมตัวและระมัดระวัง เตรียมชะลอความเร็ว และใช้ความเร็วต่ำ หากยังวิ่งด้วยความเร็วสูงอาจเกิดอันตรายได้

ขอทาง!
หากเห็นรถบรรทุกวิ่งกันมาเป็นแถวๆ แล้วจู่ๆ มีคันในแถวแฉลบหัวรถออกมาพร้อมกะพริบสูงไฟ 1 ครั้ง นั่นแสดงว่าเขากำลังขอทางและบอกเราว่ากำลังจะเร่งเครื่องแซง ขอใช้ทางวิ่งในเลนของเรา ให้เราระวัง ชะลอความเร็ว และถ้าเราพร้อมจะเปิดทางก็กะพริบไฟสูงตอบกลับไป 1 ที

เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงหายสงสัยกันแล้วสินะ ว่าสัญญาณไฟต่างๆที่พี่รถบรรทุกเปิดตลอดเส้นทางที่ขับร่วมทางกันมาในยามค่ำคืนนั้นคืออะไร จากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงน้ำใจที่มีต่อเพื่อนร่วมทาง ตลอดเส้นทางการขับขี่ ทำให้เห็นแง่มุมดีๆ และเปลี่ยนทัศนคติต่อผู้ขับรถบรรทุกที่เราเรียกกัน "สิบล้อ" ให้ดีขึ้นจากเดิมได้ แล้วตรองดูสักนิดว่าเขาเหล่านั้นยังเป็นแบบที่เราคิดในแง่ลบต่างๆนาๆ อยู่หรือเปล่า??

ขอขอบคุณข้อมูล,รูปภาพ จาก www.thairath.co.th , www.manager.co.th , one rescue
LPG , NGV , E20 , E85 ในยุคที่น้ำมันแพงอย่างนี้ จะเลือกใช้อะไรดี?

LPG , NGV , E20 , E85 ในยุคที่น้ำมันแพงอย่างนี้ จะเลือกใช้อะไรดี?

ในสภาวะที่ราคาน้ำมันทยานขึ้นสูงลิบฟ้า ซึ่งมีแต่จะขึ้นไปเรื่อย แพงขึ้นทุกวัน ผู้ใช้รถต้องแบกภาระค่าน้ำมันกันจนไหล่แทบทรุด เวลาจะเติมน้ำมันเต็มถังที ก็ต้องควักเงินหลักพันกันเลยทีเดียว ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งทางออกหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ขณะนี้เห็นจะไม่พ้น การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกต่างๆ อย่างก๊าซ LPG,NGV หรือน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 , E85 ที่มีราคาถูกกว่ากันเยอะ แต่ก็มักมีคำถามตามมาอีกว่า... "แล้วจะใช้เชื้อเพลิงอะไรดี ปลอดภัยหรือไม่ จะระเบิดหรือป่าว...?" บทความนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของพลังงานทางเลือกต่างๆเหล่านี้

 

ก๊าซแอลพีจี คืออะไร?
    ก๊าซแอลพีจี (Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คือ พลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนาม "ก๊าซหุงต้ม" เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าน้ำแต่หนักกว่าอากาศจึงลอยอยู่ในระดับต่ำ มีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัย หากเกิดการรั่วไหลขึ้น
    ในบ้านเราก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มาจากการกลั่นน้ำมันและบ่อก๊าซธรรมชาติ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน(ปตท. ยังมีเหลือจัดส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วยนะ) ก๊าซหุงต้มมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ก็คือ เป็นก๊าซที่มีค่าอ็อกเทนสูงโดยธรรมชาติ มีสอง    สถานะคือ มีสภาพเป็นก๊าซและเป็นของเหลว ซึ่งก๊าซแอลพีจีจะถูกบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังภายใต้แรงดันสูง (แต่ยังต่ำกว่า เอ็นจีวี) เพื่อให้ขนถ่ายง่าย เมื่อนำไปใช้งานจะกลายสภาพเป็นไอ
    นอกจากจะนิยมใช้แอลพีจีในครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำก๊าซแอลพีจีมาใช้แทนน้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 ทำให้เมื่อนำมาใช้กับรถยนต์แล้ว มีประสิทธิภาพสูง สมรรถนะทัดเทียมกับรถที่ใช้ระบบน้ำมันเดิม จนผู้ขับขี่ไม่มีความรู้สึกแตกต่างระหว่างการใช้น้ำมันหรือก๊าซแอลพีจี

คุณสมบัติของก๊าซแอลพีจี
    1. ก๊าซแอลพีจี อยู่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซแอลพีจีมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการระเบิด จากถังเนื่องจากการชนเป็นไปได้น้อย
    2. ก๊าซแอลพีจี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
    3. ก๊าซแอลพีจี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
    4. ราคาค่าก๊าซถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ทั้งปัจจุบันและอนาคต
    5. ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่ารถกินน้ำมันเครื่อง เพราะการสึกหรอของชิ้นส่วน เมื่อใช้ก๊าซมีน้อยกว่า
    6. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
    7. เครื่องยนต์เดินได้ราบเรียบกว่าในรอบที่ต่ำกว่า ถ้าหากได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ LPG ในรถยนต์
    1. ต้องรู้ว่าก๊าซหุงต้มคือ ก๊าซ ที่หนักกว่าอากาศ เมื่อมีการรั่วซึมจะเกาะกลุ่มกันอยู่บนพื้นในระดับต่ำ
    2. ควรจะต้องตรวจเช็คการรั่วซึมตามจุดต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง
    3. ก่อนที่จะมีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบก๊าซจะต้องปิดวาวล์ที่ถังก๊าซให้สนิท
    4. จะต้องไม่เติมก๊าซมากกว่าร้อยละแปดสิบของความจุของถัง
    5. ในการเติมก๊าซทุกครั้งอาจจะมีการรั่วซึมออกมานิดหน่อยตรงหัวเติมก๊าซ ให้ระวังประกายไฟในขณะนั้น
    6. การจอดรถหลังเลิกใช้งานเมื่อจอดรถในที่จอด เช่น โรงรถ ควรจะปิดวาวล์ที่ถังแกส
    7. โรงจอดรถถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยเฉพาะในระดับพื้นดินต้องโปร่งโล่ง
    8. ถ้าจะนำรถที่ใช้ก๊าซเข้าตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามปกติ ควรจะให้มีก๊าซในถังเหลือน้อยที่สุด
    9. ในรถรุ่นที่ต้องปรับตั้งลิ้นไอดีไอเสียแบบกลไก ก็จะต้องมีการปรับตั้งระยะห่างของลิ้นตามปกติอย่างเข้มงวด
    10. LPG จะถูกเผาไหม้ช้ากว่าน้ำมันเบนซิน การปรับตั้งไฟจุดระเบิดจึงต้องปรับตั้งล่วงหน้าเพื่อจะเผาไหม้ได้หมดจด
    11. LPG ต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียนเข้มข้นกว่าที่ใช้ในน้ำมันเบนซิน จึงต้องเลือกใช้หัวเทียนให้ถูกต้องกับค่าความร้อน
    12. LPG มีค่าอ็อกเทนประมาณ 91 ถึง125 รถที่จะติดตั้งก๊าซหุงต้ม ควรจะมีอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 10:1 ขึ้นไป จึงจะใช้ประสิทธิภาพของก๊าซได้อย่างคุ้มค่า
    อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้ LPG ถ้าวิเคราะห์กันในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว มีความปลอดภัยไม่น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนทั้งหน้าหรือท้ายรถ วาล์วนิรภัยจะทำการปิดล็อคทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อมีก๊าซรั่วไหลออกจากถังในอัตราที่ผิดปกติจากการใช้งาน     ในขณะที่ถังน้ำมันเบนซิน เมื่อถูกชนยังมีโอกาสแตกรั่วทำให้น้ำมันรั่วไหลลงพื้น
    ก่อนนำรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำไปติดตั้งก๊าซแอลพีจี ควรจะปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน รถยนต์ทุกวันนี้แม้จะเป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลที่สูง อุปกรณ์ในการติดตั้งก๊าซ และกรรมวิธีในการติดตั้งก็ได้รับการพัฒนาให้ตามทันกับการพัฒนาของรถยนต์ ไม่ว่าจะ    เป็นการติดตั้งในระบบดูดหรือในระบบฉีด ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้งานอีกต่อไป การวิตกกังวลกับเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์เมื่อใช้ก๊าซนั้นในเทคโนโลยีของปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิดกันอีกต่อไป
    ในประเทศอื่นทั่วโลก มีรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ LPG ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันเบนซินมากเป็นล้านๆ คันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะก๊าซ คือพลังงานที่สะอาด และประหยัด อย่ารอช้าหากท่านคิดจะติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ของท่าน เพราะในภาวะที่ราคาของน้ำมันมีแต่ปรับราคาขึ้นเป็นรายวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้ ติดตั้งก๊าซ น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดตั้งก็ตาม



ก๊าซเอ็นจีวีคืออะไร
    ก๊าซเอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicle: NGV) มีภาษาเชิงวิชาการว่า ก๊าซซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG)  คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี "มีเทน" เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า "ก๊าซธรรมชาติอัด" (ซีเอ็นจี) ซึ่งถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ

คุณสมบัติของก๊าซเอ็นจีวี
    1. อุณหภูมิติดไฟของก๊าซเอ็นจีวีนั้นสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ติดไปยาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้เมื่อก๊าซรั่วหรืออุบัติเหตุ
    2. ก๊าซเอ็นจีวี ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปไอ ซึ่งมีแรงดันสูง จึงทำให้ไม่มีอากาศเข้าไปผสม จึงไม่ก่อให้เกิดการผสมกันระหว่างก๊าซ จึงลดโอกาสในการติดไฟและระเบิดได้
    3. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องได้
    4. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
    5. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ส่งผลเสียต่อลูกสูบและกระบอกสูบ ทำให้เกิดการหล่อลื่นที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
    6. ก๊าซเอ็นจีวี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
    7. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงช่วยลดมวลไอเสีย และส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศโดยตรง
    8. มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น
    9. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
    10. เป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงมีราคาถูกกว่าน้ำมัน และสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ
    11. เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดรั่วไหล ก๊าซเอ็นจีวีจะไม่สะสมอยู่บนพื้นดินจนเกิดการลุกไหม้เหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ และอุณหภูมิที่จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีสามารถลุกติดไฟในอากาศเองได้ก็ต้องสูงถึง 650 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อด้อยนั้นรถยนต์ที่จะใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ต้องเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานก๊าซเอ็นจีวีโดยเฉพาะ หรือไม่ก็ต้องเป็น "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" หรือ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" ที่ผ่านการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซเอ็นจีวี
ปัจจุบันอุปกรณ์สำหรับการดัดแปลงเครื่องยนต์ดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" (ดีเซล-เอ็นจีวี) มีราคาสูงถึง 400,000-500,000 บาท และอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" (เบนซิน-เอ็น    จีวี) มีราคา 30,000-50,000 บาท นอกจากนี้ รถเอ็นจีวีจะมีกำลัง "ต่ำ" กว่ารถทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าวิ่งในเมืองปัญหาข้อนี้จะไม่มีผลกระทบมากนัก
รู้จักก๊าซธรรมชาติทั้งสองชนิดกันแล้ว ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของก๊าซทั้งสองชนิดให้เห็นกันแบบชัดๆ เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจค่ะ...
   
จุดเด่นของแอลพีจี
    1. ค่าติดตั้งถูกกว่า ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ถ้าเป็นระบบดูดก๊าซ (Mixer) มีค่าใช้จ่าย 15,000-28,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ (Injection) มีค่าใช้จ่ายราวๆ 35,000-43,000 บาท
    2. มีความจุก๊าซมากกว่า กล่าวคือ ถังก๊าซที่มีขนาดเท่ากัน แต่แอลพีจีสามารถบรรจุปริมาณก๊าซได้มากกว่า
    3. มีสถานีบริการ จำนวนแพร่หลายมากกว่า

ข้อด้อยแอลพีจี  
    1.  เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกว่าเอ็นจีวี มีราคาสูงกว่า
    2. ภาครัฐมีแผนที่จะปล่อยราคาก๊าซให้ลอยตัวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ก๊าซแอลพีจี มีราคาสูงขึ้นอีกในอนาคต

จุดเด่นของก๊าซเอ็นจีวี
    1. ภาครัฐให้การสนับสนุน มีนโยบายในเรื่องของการกำหนดราคา ทำให้ราคาอยู่ในการควบคุม
    2. มีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี ประกอบจากโรงงานโดยตรง
    3. ปลอดภัยกว่า ทั้งในแง่คุณสมบัติของมันเองที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะฟุ้งกระจายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว และอู่ที่รับติดตั้งเอ็นจีวี ผ่านการรับรองจาก ปตท.

ข้อด้อยก๊าซเอ็นจีวี 
    1. เรื่องสถานีบริการมีจำนวนน้อย โดยขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 176 แห่ง และกำลังจะเปิดอีก 59 แห่งในปีนี้
    2. ค่าติดตั้งค่อนข้างสูง โดยระบบดูดก๊าซจะมีค่าใช้จ่าย 38,000-43,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มีอีซียู ควบคุมกรจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 58,000-63,000 บาท
    ได้รับข้อมูลเบื้องต้นกันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณๆ ที่จะต้องตัดสินใจกันเองแล้วหละค่ะว่า จะเลือกพลังงานทางเลือกชนิดใด


แก๊สโซฮอล์ E20
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แก๊สโซฮอล์ ก็คือน้ำมันเบนซินผสมแอลกอฮอล์ มาจากคำว่าแก๊สโซลีน (เป็นสำนวนของอเมริกันที่เรียกน้ำมันเบนซิน) เมื่อบวกกับแอลกอฮอล์ก็เลยเรียกว่า แก๊สโซฮอล์ ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊สหรือก๊าซที่ในสำนวนไทยหมายถึงไอระเหยของของเหลว อันที่จริงเราน่าจะเรียกกันว่า เบนโซฮอล์     ก็จะเข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็เอาเถอะ ดั้งเดิมของเขาเรียกกันอย่างนั้น จากประเทศเริ่มต้น ที่เริ่มใช้กันในบราซิลมานานกว่า 30 ปีมาแล้ว
    แรกๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับเชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้ เพราะสามารถเอาเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ จากพืชผลทางการเกษตร เช่น น้ำตาลหรือมันสำปะหลัง สำหรับประเทศที่มีพื้นที่ เกษตรเป็นจำนวนมาก จนผลิตผลล้นตลาดจนขายไม่ออก เมื่อของมันล้น ก็หาทางเบี่ยงเบนไปใช้ เพื่อให้ผลิตผลมีทางออก และเป๊นการพยุงราคามิให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ ก็นับว่าเป็นผลดี แต่สำหรับประเทศที่ไม่สามารถผลิตผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างเพียงพอ การเอาของที่กินได้มาเติมรถ จึงเป็นการไม่สู้จะเหมาะสมนัก เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าว่า ประเทศสหรัฐ ในเขตพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย ก็ยังไม่มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์จำหน่าย คงจะมีบ้างในเขตพื้นที่แถวกลางๆ ประเทศนั่นแหละ ที่มีการเพาะปลูกพืชเป็นจำนวนมาก
    การผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อยก็มีต้นทุนสูงไม่น้อย เพราะกว่าอ้อยจะโตขึ้นมา ก็ต้องใช้เวลาเพาะปลูก อีกทั้งยังจะต้องใส่ปุ๋ย พรวนดิน และต้องมีการปรับสภาพผิวดินอยู่เสมอ เพราะเมื่อปลูกสัก 2 ครั้ง ไปแล้ว ก็เริ่มจะขาดสารอาหารในดิน จนไม่สามารถจะเพาะปลูกพืชอื่นได้ ในบางพื้นที่ก็มีการสลับการปลูกพืช ประเภทถั่วเพื่อปรับปรุงสภาพผิวดินให้มี คุณภาพคืนมาบ้าง สำหรับพืชประเภทมันสำปะหลัง ก็ถือได้ว่าเป็นพืชที่กินดิน เพราะเมื่อปลูกไปแล้วสักระยะ ดินก็จะจืดจนปลูกพืชอื่นไม่ได้เช่นกัน การปลูกพืชเหล่านี้ในระยะยาวจะมีผลทำให้ไม่สามารถปลูกพืชอื่นได้ แม้ตัวของมันเองก็จะไม่ค่อยงามเหมือนตอนปลูกใหม่ๆ
    เมื่อเอาพืชผลทางเกษตรมาผลิตเป็นเอทานอลได้แล้ว ก็จะได้เป็นสูตรเคมีดังนี้ C2H 5OH คิดเป็นอัตราส่วนของธาตุโดยมวล C:H:O= 52.2:13.1:34.5 คือคาร์บอน 52.2% ไฮโดรเจน 13.1% และออกซิเจน 34.5 มีค่าออกเทนที่ Ron 107 จะมีจุดเดือดที่ 78 C จึง ระเหยได้ง่าย ละลายในน้ำได้ดีในทุกอัตราส่วน เช่นเดียวกับเหล้าที่ผสมน้ำหรือโซดาที่เราดื่มกิน แต่การที่จะผสมกับน้ำมันเบนซินก็จะเข้ากันได้ยาก จำเป็นจะต้องเติมสารประเภทยึดเหนี่ยวเพื่อให้แอลกอฮอล์สามารถผสมกับเบนซิน ได้ ข้อแตกต่างจากสูตรเคมีของเบนซินจะมีเพียง C กับ H คือคาร์บอนกับไฮโดรเจนเท่านั้น การที่มี O หรือ ออกซิเจนอยู่ในเชื้อเพลิง ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการจ่าย จำเป็นจะต้องเป็นวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเท่านั้น
    สำหรับในรถยนต์รุ่นเก่าๆ จะไม่ได้ใช้วัสดุเหล่านี้เลย เพราะเชื้อเพลิงไม่มีออกซิเจนในตัว อีกทั้งยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้น คงใช้ถังเชื้อเพลิงที่เป็นเหล็กและเคลือบด้วยตะกั่วหรือสังกะสี ส่วนระบบส่งเชื้อเพลิงและระบบจ่ายก็ยังเป็นอะลูมิเนียม หรือ ซิงค์ ดาย ดาส อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกกัดกร่อน อีกทั้งส่วนที่เป็นท่อยาง หรือ ซีล โอริงส์ ก็จะเกิดการบวมและทำให้รั่วซึมจนชำรุดในที่สุด สำหรับยางสังเคราะห์ที่ทำขึ้นเพื่อใช้กับแอลกอฮอล์ ก็ไม่สามารถใช้กับน้ำมันปิโตรเลียมได้ เพราะมันบวมอืด เหมือนอย่างยางหนังสะติ๊กแช่น้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าด ใช้เวลาไม่นานนักมันจะบวมเป็นวงโตมาก แต่ถ้าแช่ในแอลกอฮอล์ มันจะอยู่กันได้ ทีนี้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มันมีทั้งสองอย่าง วัสดุที่เป็นยางจึงต้องมีสูตรผสมพิเศษยิ่งกว่าและมีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว
    แก๊สโซฮอล์ที่มีจำหน่ายแล้วเวลานี้ก็คือ E10 นั่นก็คือมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย 10% ที่ออกมาใหม่ปีนี้จะเป็น E20 หมายถึงจะมีส่วนผสมถึง 20% และจะมีราคาถูกลงไปอีก ในส่วนนี้ก็นับว่ามีอาการแปลกๆ เอาแค่ E10 ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 10% ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่า 95 ธรรมดากว่า 10% ได้ ในส่วนนี้ถ้าพิจารณาโดยหลักการค้าแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร? เท่ากับว่าแอลกอฮอล์ที่ผสมเพิ่มเข้าไปแทนที่ 10% เป็นของที่ได้มาเปล่าๆ ไม่มีราคาอะไร หรือเป็นการชดเชยทางภาษี เพื่อต้อนประชาชนไปใช้ หรือไม่ก็เป็นการเพิ่มราคาเบนซิน 95 เพื่อให้ไม่น่าใช้ ตรงนี้ไม่สามารถเดาได้ว่า ยิ่งผสมมากก็ยิ่งถูกลง ถ้ามันเป็นเช่นนี้จริง ก็จัดจำหน่าย E100 ไปเลย อาจจะเติมฟรีด้วยก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เครื่องยนต์ที่จะใช้แอลกอฮอล์ล้วนสามารถสร้างได้
    เชื้อเพลิงชนิดนี้สามารถให้พลังงานกับเครื่องยนต์ได้มาก โดยไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย เนื่องจากค่าความร้อนน้อย การเผาไหม้มีอุณหภูมิต่ำกว่าเบนซิน ก็ตัดปัญหาเรื่องลูกสูบละลายไปได้มาก อีกทั้งยังจะต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงที่มีอัตราส่วนสูงกว่าเบนซินถึง 2 เท่าตัว เช่นเครื่องเบนซินอยู่ในเกณฑ์ 11-15:1 กับอากาศ สำหรับแอลกอฮอล์จะต้องให้ส่วนผสมอยู่ที่   6-7:1 คือ 2 เท่า ของเบนซินและเชื้อเพลิงชนิดนี้มีการดูดซับความร้อนได้ดีมาก
    เมื่อฉีดเชื้อเพลิงผสมกับอากาศ ก็จะทำให้ลดอุณหภูมิของอากาศได้จนต่ำกว่า 0? เพราะในขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดใหม่ๆ ยังไม่มีความร้อน ท่อไอดีจะเย็นมากจนน้ำแข็งเริ่มจับ มันเป็นอาการเดียวกับเวลาที่เราจะถูกฉีดยาแล้วใช้แอลกอฮอล์เช็ดผิวก่อน ตรงนี้จะมีความรู้สึกเย็น การลดอุณหภูมิของอากาศที่จะเข้าเครื่องยนต์ได้มาก ก็ยิ่งจะทำให้ความหนาแน่นของอากาศมีมวลสูง คือมีเม็ดอากาศถูกบรรจุในกระบอกสูบได้มาก เครื่องยนต์ก็ให้แรงม้าได้มาก มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว



ความรู้เรื่องเชื้อเพลิง E85
    พลังงานในรูปของเชื้อเพลิงทดแทนจากเอทานอลกำลังเข้ามาช่วยให้การใช้รถยนต์ของคนไทยมีความประหยัดมากยิ่งขึ้น รถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่มีขายในประเทศได้เข้ามาทำให้ทางเลือกในการเติมเชื้อเพลิงมีความหลากหลาย เชื้อเพลิงทางเลือกเอทานอลยังรักษาสภาพแวดล้อมเนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่าเชื้อเพลิงเบนซินปกติทั่วไป...
    น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีตัวอักษร E นำหน้า  หมายถึงการผสมผสานระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินและเอทานอล  หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่าแก๊สโซฮอล์ สำหรับตัวเลขที่ต่อท้ายหมายถึงปริมาณเอทานอลที่ผสมอยู่ เช่น E85  มีส่วนผสมของเอทานอล 85% และน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 15% ในขณะที่ E10  มีเอทานอล 10% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 90% เช่นเดียวกับ E20 ที่มีเอทานอล 20%  และเบนซินอีก 80% ในประเทศไทยนั้น  เริ่มทำการจำหน่ายเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544  โดยมีส่วนผสมเอทานอล E10 สำหรับในประเทศอื่นๆ นั้น  ก็ได้มีการส่งเสริมให้ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกประหยัดพลังงานกันอย่างแพร่หลายทั้งที่ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา  สหรัฐอเมริกาและยุโรปในบางประเทศที่เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของเชื้อเพลิงเอทานอล
    ความจริงแล้วเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 95  ก็คือเชื้อเพลิง E10 นั่นเองท่ี่ผสมกับน้ำมันออกเทน 95 ขณะที่แก๊สโซฮอล์  91 นั้นมีราคาขายที่ถูกกว่าเนื่องจากมีออกเทนน้อยกว่า  ซึ่งเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 91 ก็คือเชื้่อเพลิงเบนซินแบบ 95  ที่ผสมกับเอทานอล เพียงแต่ออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 91  นั้นน้อยกว่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 95 นั่นเอง  ค่าออกเทนที่สูงกว่าจะทำให้การจุดระเบิดสมบูรณ์ ให้สมรรถนะดีขึ้นเล็กน้อยในรถยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงและใช้ระบบจุดระเบิดแบบแปรผัน  สำหรับเอทานอลนั้น ผลิตได้จากวัสดุทางชีวภาพที่ผ่านขั้นตอนขบวนการหมัก  วัตถุดิบดังกล่าวมีทั้งอ้อย มันสำปะหลัง เมล็ดข้าว ข้าวบาร์เลย์ มันเทศ  ต้นทานตะวัน ข้าวสาลีและมวลชีวภาพอื่นๆ  โดยที่อ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตเอทานอลของประเทศไทย 
    ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการทำการเกษตรไร่อ้อยรวมพื้นที่ทั้งสิ้น 8 ล้านไร่  และมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอีก 8 ล้านไร่ประโยชน์ของเอทานอลต่อสิ่งแวดล้อมเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง  เอทานอลมีปริมาณของออกซิเจนสูงกว่าราว 30% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเบนซิน  ผลลัพธ์ที่ได้คือการเผาไหม้ที่หมดจดและสะอาดกว่า โดยทั่วๆ ไปแล้วเชื้อเพลิง E85 จะช่วยลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซค์ CO2 ลงได้ประมาณ 20%  ขณะที่มลพิษอื่นๆ เช่น คาร์บอนมอนน็อคไซค์ ไนตรัสออกไซค์  และซัลเฟอร์ไดออกไซค์จะมีปริมาณลดลงอย่างมากเช่นกัน  แก๊สมลภาวะเหล่านี้ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก ตามมาด้วยสภาวะโลกร้อน  เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลยังลดสารก่อมะเร็งบางชนิดอย่างเบนซินและบิวทาไดอีนอีกด้วย ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้น้ำมันเบนซิน 20  ล้านลิตร และดีเซลอีก 50 ล้านลิตรต่อวัน  เนื่องจากแหล่งผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงและทรัพยาการที่น้อย  ทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยในปี พ.ศ.2552 ประเทศไทยใช้งบประมาณในการนำเข้าเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเงิน 623,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี พ.ศ. 2555 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านบาท
    จากข้อดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว  การใช้เอทานอลในวงกว้างยังมีส่วนช่วยในด้านความมั่นคงของพลังงานในประเทศ  เนื่องจากเอทานอลสามารถผลิตได้ในปริมาณมากๆ ในประเทศไทย  เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีความยั่งยืน  ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในประเทศและมีส่วนสำคัญในการลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ  การผลิตเอทานอลยังสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการส่งออก ในปี พ.ศ. 2550  ไทยส่งออกเอทานอลจำนวน 14.9 ล้านลิตร ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 303.87  ล้านลิตรในปี พ.ศ. 2555  สำหรับประเทศที่นำเข้าเอทานอลจากไทยมากที่สุด ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น  ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และเกาหลีใต้  ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้เอทานอลจำนวนถึง 2.4  ล้านลิตรต่อวัน ความต้องการใช้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  กระทรวงพลังงานประเมินว่า ยอดการใช้เอทานอลจะเพิ่มถึงระดับ 9  ล้านลิตรต่อวันในปี 2565 ทุกวันนี้มีรถยนต์เฟล็กซ์ฟิวจำนวน 52,112  คันวิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย มีสถานีบริการเชื้อเพลิง E85 จำนวน 64  แห่งทั่วประเทศ  ทั้งสองตัวเลขนี้คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีรถยนต์ที่สามารถรองรับเชื้อเพลิงชนิดนี้ออกสู่ตลาด รวมถึงรถยนต์ Chevrolet Captiva และ Cruze
    ทำความเข้าใจกับรถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อเพลิง E85 ให้มากยิ่งขึ้น  ก่อนอื่นต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงบางประการของเอทานอลเสียก่อน  เอทานอลมีคุณสมบัติกัดกร่อน มีค่าความร้อนต่ำกว่าราว 28%  ซึ่งหมายความว่าหากต้องการพลังงานเทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน  จะต้องใช้เอทานอลในปริมาณที่มากกว่า ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซินทั่วไปแล้ว  เอทานอลมีค่าออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซินอีกด้วย เพื่อการใช้ประสิทธิภาพ E85  ได้อย่างน่าพึงพอใจ รถยนต์จะต้องมีระบบเชื้อเพลิงที่รองรับ E85  เพื่อให้มีความทนทานต่อคุณสมบัติกัดกร่อนของเอทานอล  ไม่ว่าจะเป็นปั๊มเชื้อเพลิง สายนำส่งเชื้อเพลิง  หัวฉีดและเครื่องยนต์รวมถึงชิ้นส่วน เช่น ลูกสูบ แหวนรองลูกสูบ  วาล์วและบ่าวาล์วจะต้องมีความแข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้น  เนื่องจากเอทานอลปริมาณมากจะต้องถูกใช้เพื่อผลิตพลังงานให้ได้เท่ากับ เครื่องยนต์เบนซิน ปั๊มเชื้อเพลิง  สายเชื้อเพลิงและหัวฉีดจะต้องมีอัตราไหลลื่นมากกว่า  เอทานอลมีค่าออกเทนสูงกว่าเชื้อเพลิงเบนซิน  จังหวะของการจุดระเบิดจะต้องเกิดขึ้นล่วงหน้าและหน่วงเวลาโดยขึ้นอยู่กับปริมาณของเอทานอลในเชื้อเพลิง  การจุดระเบิดด้วยระบบจุดระเบิดที่ทันสมัยจะทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องยนต์ E85  พละกำลังที่เพิ่มขึ้นได้เข้ามาชดเชยการผลิตพลังงานที่น้อยกว่าของเอทานอล  จึงไม่ส่งผลกระทบไปถึงกำลังในรูปของแรงม้าจากเครื่องยนต์  ซึ่งเป็นเรื่องที่มักจะมีความเข้าใจที่ผิดมาโดยตลอด

กล่อง ECU  ในรถยนต์เฟล็กซ์ฟิวจะทำการปรับอัตราการไหลเวียนเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดในทันที 
ความยืดหยุ่นในระบบทำให้รถยนต์เฟล็กซ์ฟิวสามารถรองรับเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E10 ไปจนถึง E85 นั่นคือที่มาของรถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิว  สำหรับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอทานอลคือจะสามารถเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้เนื่องจากมีค่าออกเทนสูง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น  ค่าออกเทนที่สูงจะช่วยใน    เรื่องของการจุดระเบิดล่วงหน้าแต่ยังคงคายกำลังเท่าเดิม การเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์จะต้องมีการปรับปัจจัยหลายอย่าง เช่น  อัตราส่วนกำลังอัด  ซึ่งถูกกำหนดมาจากโรงงานผู้ผลิตนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นอกจากการปรับแต่งเครื่องยนต์ครั้งใหญ่ ส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิง  อัตราการไหลเวียนของเชื้อเพลิง การปรับแต่งเครื่องยนต์และจูนกล่องควบคุม  ECU ปัจจุบันมีชุดปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงแบบ E85  แต่ก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบมากนัก  แตกต่างจากรถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่ผลิตโดยตรงจากโรงงาน  ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับเชื้อเพลิงทดแทนโดยเฉพาะ เนื่องจากเอทานอลจะต้องถูกใช้ในปริมาณมากกว่าเพื่อที่จะผลิตพลังงานให้เทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน  อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเอทานอลจึงสูงกว่าเชื้อเพลิงแบบเบนซิน  แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าเบนซิน (เอทานอล E85 ลิตรละประมาณ 21.38 บาท)  ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งมีราคาสูงถึง 34.68 บาท  ข้อได้เปรียบในจุดของราคาเอทานอลที่ถูกกว่าทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด  ถึงแม้จะสิ้นเปลืองมากกว่าเชื้อเพลิงเบนซินและต้องเติมบ่อยกว่า แต่ผู้ใช้  E85 ก็ยังพบว่ามีค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเบนซินอยู่ดี  แถมยังช่วยในเรื่องของมลพิษที่ลดลงอีกด้วย

ข้อดีและข้อเสีย E-85

· E85 มีคุณสมบัติกัดกร่อนสูงจริงหรือข้อนี้จริง แต่ไม่ได้เยอะอย่างที่คิดครับ แม้แต่น้ำมันเบนซินเองก็กัดด้วยเหมือนกัน ดังนั้นปัญหาจริงๆของ E85 ไม่ใช่เรื่องของคุณสมบัติการกัดกร่อน แต่กลับเป็นคุณสมบัติดูดความชื้นของแอลกอฮอล์ต่างหาก ซึ่งถ้าเราปล่อยเอธานอลทิ้งไว้นานๆ ตัวมันก็จะเริ่มดูดความชื้นสะสมเอาไว้เรื่อยๆ และถ้าหากภาชนะที่บรรจุนั้นเป็นเหล็ก ผลที่ได้ก็คือสนิมนั่นเองผู้ผลิตทราบถึงเรื่องนี้ และก็ได้เปลี่ยนจากท่อน้ำมันที่เคยเป็นเหล็กล้วนตอนสมัยเครื่องคาร์บูฯเป็นท่ออลูมิเนียม ถังเหล็กก็มีการชุบสารกันสนิมเคลือบไว้ด้านใน ช้เป็นถังและท่อน้ำมันพลาสติกแทนแล้ว นอกจากนี้ก็ยังเป็นถังระบบปิด กันอากาศและความชื้นเข้าออกเอาไว้อีกด้วย รถที่เป็นเครื่องหัวฉีดมานั้นมีความพร้อมที่จะใช้ E85 ได้เกิน 90% อยู่แล้วในส่วนของยางกับเอธานอลนั้น ไม่ใช่ความเสียหายจากการกัดกร่อนหรือสนิม แต่เกิดจากคุณสมบัติความ “แห้ง” ของแอลกอฮอล์ ยางที่นำมาใช้ในการผลิตรถยนต์ เปลี่ยนเป็นยางผสมหรือยางสังเคราะห์ซึ่งจะไม่มีการแตกตัวในลักษณะอย่างที่ว่าแทนไปแล้ว ดังนั้นหากสำรวจแล้วว่าท่อยางที่ใช้งานยังอยู่ในสภาพที่ดี ก็สามารถเติม E85 ได้เลย

· เติมแล้วทำให้ปั๊มติ๊กพังหรือกรองตันหรือเปล่า?ถ้าหากเป็นปั๊มติ๊กที่มีชิ้นส่วนเป็นเหล็ก และมีการปล่อยทิ้งไว้นานก็จะทำให้ปั๊มเป็นสนิมได้จริง ถ้าเป็นรถที่มีอายุมากๆ ผ่านการใช้งานมานาน พอเติม E85 ใส่ลงไป จะทำให้คราบจำพวกสารหล่อลื่นหรือสารเติมแต่งอื่นๆที่ผสมมากับน้ำมันเบนซินที่เกาะอยู่ในถังละลายออกมา ซึ่งอาจจะทำให้กรองเบนซินหรือปั๊มติ๊กอุดตันได้ถ้าหากมีประมาณเยอะพอ ตรงนี้อาจจะใช้วิธีเปลี่ยนกรองเบนซินหลังจากใช้งานไปสักพักแล้วก็น่าจะหมดปัญหา

· เติม E85 ทำให้เครื่องพังได้ใหม?ถ้าเป็นรถที่ไม่ได้ทำมารองรับ E85 ถ้าฝืนใช้ไปนานๆโดยไม่มีการใส่อุปกรณ์ปรับส่วนผสมใดๆเลย ก็อาจจะทำให้เครื่องพังจากส่วนผสมบางได้ครับ ซึ่งยังไงก็ไม่ใช่พังในทันทีแน่นอน

· เติม E85 แล้ววิ่งได้ระยะทางน้อยลงรึเปล่า?จริงครับ แต่น้อยลงประมาณ 10-15% เท่านั้น เทียบกับราคาน้ำมันที่ถูกกว่าเกือบครึ่งก็ยังถือว่าประหยัดได้มากกว่าพอสมควร ถ้าหากราคาน้ำมันต่างกันไม่เกิน 20% ก็คงไม่คุ้มที่จะเติมครับ

· E85 มีพลังงานน้อยกว่าเบนซิน ทำให้รถแรงน้อยกว่าเดิมหรือเปล่า?จริงอยู่ที่พลังงานจาก E85 น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน “เมื่อเทียบจากการเผาไหม้ในปริมาณที่เท่ากัน” แต่ด้วยคุณสมบัติที่ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการจ่าย E85 สำหรับการเผาไหม้ให้มากขึ้นกลับกลายเป็นข้อดีที่ทำให้อุณหภูมิในการเผาไหม้ของ E85 มีความเย็นมากกว่าและเผาไหม้ได้นานกว่า แทนที่จะเป็นการระเบิดแบบรุนแรงในระยะเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นการระเบิดที่ยาวตลอดการเคลื่อนที่ลงของลูกสูบ ส่งผลให้มีแรงบิดที่ต่อเนื่องกว่า เครื่องยนต์เดินเรียบกว่าอย่างชัดเจน

ข้อมูลจาก http://www.rodweekly.com/news_detail.php?q_id=1119 แหล่งที่มา นิตยสาร รถ Weekly
รถยนต์ใหม่นับแสนคัน ถูกทิ้ง!!! เพราะขายไม่ออก

รถยนต์ใหม่นับแสนคัน ถูกทิ้ง!!! เพราะขายไม่ออก

เคยสงสัยกันไหมว่ารถยนต์ที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ ขายได้หมดทุกคันหรือไม่?

ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพที่ผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อต่างๆไม่อยากให้เกิดขึ้น จากภาพแสดงให้เห็นถึงกระบวนการการผลิตรถยนต์มากกว่าความต้องการของผู้บริโภค เมื่อปี 2009 รถยนต์รุ่นใหม่ๆ สภาพสวยงาม และไม่เคยถูกใช้งาน นับแสนคันถูกจอดทิ้งไว้เพื่อรอวันทำลาย และปัจจุบันปัญหานี้ยังคงอยู่


ภาพนี้แสดงให้เห็นรถยนต์จำนวนมากที่ถูกผลิตขึ้นมามากเกินความต้องการของตลาดในพอร์ตออฟเชียร์เนส เมืองเคนท์ ประเทศอังกฤษ

ไม่มีใครซื้อรถยนต์ใหม่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างนี้ และมีใครบ้างที่ซื้อรถยนต์ใหม่ทุกปี หรือซื้อรถรุ่นใหม่ๆทุกคันที่มี รถยนต์ใหม่จำนวนมหาศาลจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ในลานจอดรถ

ภาพจากเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา

รถยนต์กว่า 57,000 คัน ถูกจอดทิ้่งไว้ในลานจอดรถขนาดใหญ่ การลดราคารถเก่าจะทำให้กลไกการตลาดผิดเพี้ยน อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หากผู้ผลิตลดราคารถเก่าตกรุ่นที่เป็นรถมือหนึ่งในราคา 1 แสนบาท รถรุ่นใหม่ที่ผลิตในราคา 3 แสนบาทก็จะขายไม่ได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหามีมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นรถยนต์ตกรุ่นจำนวนมากจึงถูกเคลื่อนย้ายออกไปเพื่อให้เกิดพื้นที่ว่างในการรองรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่กำลังผลิตออกมา อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่สามารถหยุดการผลิตได้ เพราะนั่นหมายถึงแรงงานในกระบวนการผลิตต้องตกงาน ถูกเลิกจ้าง และสุดท้ายโรงงานผลิตรถยนต์ต้องปิดตัวลง และก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปกันใหญ่ ผลกระทบนี้ยังลุกลามไปยังอุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ซึ่งปัจุบันปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก

รถยนต์นับหมื่นในประเทศสเปนถูกจอดตากแดดทิ้งไว้ทั้งวัน
ภาพจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
ภาพรถยนต์นำเข้าจากยุโรปที่ขายไม่ออกถูกจอดทิ้งไว้ในสนามบิน

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างต้องการใช้รถยนต์ที่ซื้อมาให้คุ้มค่า และยาวนานที่สุด แต่รถยนต์ยังคงมีการผลิตในทุกๆวัน

ลานโล่งถูกดัดแปลงให้กลายเป็นสุสานชั่วคราวสำหรับรถยนต์ที่ขายไม่ออก
ที่เมืองเอวอนมัธ ประเทศอังกฤษ

พื้นที่สีเทาที่เห็นในรูปเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน

ภาพจากเมืองคอร์บี้ ประเทศอังกฤษ

รถยนต์ส่วนเกินจำนวนมากชวนให้สงสัยว่า ทำไมไม่เอารถพวกนี้ไปรีไซเคิล แยกชิ้นส่วนอะไหล่ขาย หรือทำประโยชน์อื่นๆ 

ภาพจากท่าเรือซิวิตาเวกกียา ประเทศอิตาลี
ภาพจากท่าเรือบาเลนเซีย ประเทศสเปน

ภาพพวกนี้ชวนให้หงุดหงิดใจยิ่งนักหากคุณยังคงใช้รถเก่าๆ ในชีวิตประจำวันทุกๆวัน แทนที่จะได้ใช้รถใหม่ที่กำลังรอการทำลายเหล่านี้

รถยนต์มากมายพวกนี้ถูกจอดอยู่ที่เดิมเป็นปี ๆ และเมื่อรถยนต์ถูกจอดทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้ใช้งาน น้ำมันจะไหลลงสู่ด้านล่างของอ่างน้ำมันเครื่องและเริ่มกระบวนการกัดกร่อนสิ่งต่างๆภายในเครื่องยน ทำให้เกิดความเสียหายภายในเครื่องยนต์ การจอดตากแดดตากฝน ก่อให้เกิดสนิมที่รอกัดกร่อนผุพังผิวของรถ และทำให้รถเหล่านี้กลายเป็นขยะในที่สุด

การผลิตรถยนต์เกินความต้องการของตลาด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาด้วยการนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ หรือตั้งราคาให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ก็คงต้องมองหาพื้นที่สำหรับจอดรถที่ขายไม่ออกเพิ่มอีกไม่รู้จักจบสิ้น

ข้อมูลจาก:Distractify และ http://www.clipmass.com/m/scoop_detail.php?news_id=89191


ลิ้งค์สำหรับยางรถยนต์

จำหน่ายทุกยี่ห้อ อาธิเช่น ยาง AUFINE , ADVANCE , DEESTONE , DURO , BKT , BRIDGESTONE , ARMOUR , SHUNGIN , VEE RUBBER , DOUBLE COIN , OASIS , SAMSON , OTANI , HANKOOK , AEOLOUS , CONTINENTAL , MICHELIN , EXCEL , NAGANO , SIAMES , AMS และอื่นๆอีกมากมาย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tiretruckintertrade.com/

บทความต่างๆเกี่ยวกับยางรถยนต์และบทความน่ารู้เกี่ยวกับการใช้รถยนต์

FANPAGE : https://www.facebook.com/tiretruckcenterintertrade

EMAIL : SALE@TIRETRUCKINTERTRADE.COM

TEL. : 053-510068 , 083-0938048 , 094-7201988   FAX : 053-510068

ขนาดยางรถ JCB รถจักรและเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีการใช้งานแพร่หลายในประเทศไทย

ขนาดยางรถ JCB รถจักรและเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีการใช้งานแพร่หลายในประเทศไทย

JCB เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในเรื่องการผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง , รถจักรและเครื่องจักรรื้อถอน และรถสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่ง JCB ถือเป็น 1 ใน 3 ของผู้ผลิตเครื่องจักรกลรายใหญ่ของโลก มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 300 ชนิด ประกอบด้วย แบคโฮ , รถขุด , รถแทรกเตอร์ , รถตัก รถจักรและเครื่องจักรกลต่างๆ  มีโรงงานถึง 22 แห่งทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย , ยุโรป , อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ผลิตภัณฑ์ของ JCB มีวางจำหน่ายในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

JCB ก่อตั้งขึ้นในปี 1945 โดย โจเซฟซีริล เบมฟอร์ด ซึ่งต่อมา JCB ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องจักรในการขุดตัก และยังถือเป็นเครื่องหมายการค้าผลิตภัณฑ์รถจักรและเครื่องจักรอีกด้วย
รถ JCB มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะรถตักล้อยาง JCB ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ บ่อหิน ดิน ทราย อุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงใช้งานในอุตสาหกรรมอื่นๆ มากมายหลายรุ่นหลายขนาด โดยรถตักล้อยางระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ(4WD) ออกแบบสำหรับงานรื้อถอนสิ่งกีดขวางในสถานที่ก่อสร้าง ขุดและย้ายดิน หิน ทรายสำหรับใช้ในการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมต่างๆ เหมืองแร่ ก่อสร้าง รถตัก JCB สามารถทำงานได้อย่างว่องไวและยืดหยุ่นแม้กระทั้งพื้นที่แคบ ระบบพวงมาลัยไฮดรอลิคแบบถ่วงและระบบการทำงานแบบปั๊มไฮดรอลิคเดี่ยวที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องยนต์สามารถทำงานร่วมกันทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังประหยัดพลังงานอีกด้วย
รถตักหน้าขุดหลังหรือรถแบ็คโฮ สามารถใช้ได้ในหลายๆงาน อาทิเช่น งานก่อสร้าง , งานรื้อถอนและงานขนส่งวัสดุก่อสร้าง เป็นอุปกรณ์ที่เอนกประสงค์และขนาดกระทัดรัด แบคโฮจึงเป็นเครื่องจักรที่มีความนิยมในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การสร้างบ้าน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ , รื้อถอนและซ่อมแซมถนน รวมถึงงานด้านอื่นๆอีกมากมาย

 

ขนาดของรถตักล้อยาง JCB


รถตักเอนกประสงค์ล้อยาง JCB รุ่น 531-70 ประกอบด้วยยางรถตักขนาด 15.5-24 ชั้นผ้าใบ 12PR ขนาดเท่ากันทั้ง 4 ล้อ

รถตักหน้า-ขุดหลังล้อยาง JCB รุ่น 3CX SUPER ประกอบด้วยยางรถตักขนาด 16.9-24 ชั้นผ้าใบ 12PR ขนาดเท่ากันทั้ง 4 ล้อ

รถตักหน้า-ขุดหลังล้อยาง JCB รุ่น 3CX 4WD ประกอบด้วยยางรถตัก ล้อหน้าขนาด 12.5-18 ชั้นผ้าใบ 10PR ล้อหลังขนาด 16.9-28 ชั้นผ้าใบ 12PR

รถตักล้อยาง JCB รุ่น 406/407 ประกอบด้วยยางรถตักขนาด 12.5/80-18 , 12.5-20 , 12.5-18

รถตักล้อยาง JCB รุ่น 409 ประกอบด้วยยางรถตักขนาด 12.5-20 , 16.0/70-20

รถบดล้อเหล็กแบบสั่นสะเทือน สำหรับใช้งานบดอัดพื้น,ถนน ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมีน้ำหนักใช้งาน 11.30 ตัน ล้อหน้าเป็นล้อเหล็กหน้าเรียบสั่นสะเทือน มีขนาดความกว้าง 2,250 มิลลิเมตร และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,500 มิลลิเมตร ล้อหลังเป็นล้อยาง ขนาด 23.1-26 แบบ PR AWT อัตราเทียบชั้นผ้าใบ 8PR

และยังมีรถ JCB อีกมากมายหลายรุ่น หลากหลายการใช้งานที่ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งสามารถดูรายการยางสำหรับรถ JCB ได้จากลิ้งค์ดังต่อไปนี้

ยางรถตัก JCB ขนาดต่างๆ
ยางรถบด JCB ขนาดต่างๆ
ยางรถการเกษตรและเครื่องจักรอุตสาหกรรมการเกษตร
ยางรถอุตสาหกรรม และยางรถใช้ในโรงงาน

ยางรถตักเล็ก (Skid Steer Tyres), รถตักล้อยาง komatsu, รถตัก JCB, รถตักเอวอ่อน, รถตักดิน, อะไหล่รถตัก, รถแม็คโคร, รถขุด, รถขุดล้อยาง, รถตักหน้าขุดหลัง, รถขุดดิน, รถขุด komatsu, รถขุด kobelco, รถขุดเล็ก, รถแบคโฮ, รถตักล้อยาง

5.70-12, 23x8.50-12, 5.50-15, 7.50-15, 27x10.50-15, 27x8.50-15, 10-15, 12/65-15, 125/65-15, 27x10.50-15, 31x15.50-15, 33x12.50-15, 125/70-16, 14.0/65-15, 12.5/70-16, 15.5/60-16, 15.0/55-17, 15.0/55-17 (380/55-17), 10-18, 10.5/80-18 ,12.0/12.5-18, 12.5/80-18, 12.0/12.5-18, ,15.5/60-18, 15.5/70-18, 10-16.5 NHS, 12-16.5 NHS, 14-17.5 NHS, 15-19.5 NHS, 16.0/70-20 (405/70-20), 42x17-20, 17.5/65-20, 14.9-24, 16/70-24 (405/70-24), 500/60-22.5 (161A8/149A6)



ยางรถตัก (Loader&Dozer Tyres)

16.9-24, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 16.9-24, 18.4-24, 19.5L-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, -25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 18.00-25, 21.00-25, 18.4-26, 16.9-28, 29.5-29, 18.00-33, 35/65-33, 21.00-35, 24.00-49, 27.00-49, 45/65-45, 50/65-51, 65/60-51, 30.00-51, 55.5/80-57, 65/65-57

ลิ้งค์สำหรับขนาดยางรถตัก

10-16.5 12-16.5 12.5-18 12.5-20 12.5/70-16 12.5/80-18 13.00-24 14-17.5 14.00-20 14.00-24 15-19.5 15.5-25 15.5/60-18 15.5/70-18 16.0/70-20 16.00-25 16.9-24 16.9-28 17.5-25 18.4-26 20.5-25 23.5-25 23x8.50-12 14.00R24 20.5R25 23.5R25 18.00R25 26.5R25 29.5R25 26.5-25 27x10.50-15 27x8.50-15 33.25R29 29.5-25 29.5-29 31x15.50-15 18.00R33 33x12.5-15 24.00R35 21.00R35 29.5R35 35/65-33 45/65R45 24.00R49 27.00R49 36.00R51 7.00-12

จำหน่ายทุกยี่ห้อ อาธิเช่น ยาง AUFINE , ADVANCE , DEESTONE , DURO , BKT , BRIDGESTONE , ARMOUR , SHUNGIN , VEE RUBBER , DOUBLE COIN , OASIS , SAMSON , OTANI , HANKOOK , AEOLOUS , CONTINENTAL , MICHELIN , EXCEL , NAGANO , SIAMES , AMS และอื่นๆอีกมากมาย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tiretruckintertrade.com/

บทความต่างๆเกี่ยวกับยางรถยนต์และบทความน่ารู้เกี่ยวกับการใช้รถยนต์

FANPAGE : https://www.facebook.com/tiretruckcenterintertrade

EMAIL : SALE@TIRETRUCKINTERTRADE.COM

TEL. : 053-510068 , 083-0938048 , 094-7201988   FAX : 053-510068

ขอบคุณที่มาแหล่งข้อมูลจาก www.jcb.com
Giant OTR การพัฒนาของอุตสาหกรรมยางเครื่องจักรขนาดใหญ่ และการแข่งขันในตลาดยางรถเหมืองแร่ของโลก

Giant OTR การพัฒนาของอุตสาหกรรมยางเครื่องจักรขนาดใหญ่ และการแข่งขันในตลาดยางรถเหมืองแร่ของโลก

Titan International, Inc., ผู้ผลิตล้อ ยาง และอะไหล่สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้งานในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมการเกษตร รถตักขนาดใหญ่ งานก่อสร้าง รวมถึงเป็นผู้ผลิตอะไหล่ยนต์สำหรับยานพาหนะทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการเหมืองแร่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและอำนวยความสะดวกแก่การทำงานจึงมีมากขึ้นเช่นกัน ความต้องการยางที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการยางที่มีขนาดที่ใหญ่และแข็งแรงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่

Titan International, Inc., ได้ผลิตยางสำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นรายแรกของโลก ด้วยขนาดยาง 63 นิ้ว เพื่อส่งให้กับอุตสาหกรรมเหมืองน้ำมันในแคนาดา โดยวัดขนาดยางได้ความสูงถึง 14 ฟุต น้ำหนักราว 12,500 ปอนด์.(ประมาณ 5,670 kgs.)

โดย Mr.Maurice M. Taylor Jr. ประธานกรรมการและซีอีโอของ Titan International, Inc., กล่าวว่า "หลายท่านคงสงสัยว่า Titan Tire ผลิตยางใหญ่ขนาดนี้ภายในปีเดียวได้อย่างไร?" ซึ่งก่อนหน้านี้ ยางขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตขึ้นโดย Bridgestone.

เมื่อเทียบกับยางที่ Titan International, Inc., ผลิตแล้ว ยางของ Titan Tire มีขนาดสูงกว่าเกือบ 4.02 เมตร ซึ่งสูงกว่าสถิติยางขนาด 55/80R63 ที่ Bridgestone เคยทำไว้ ยาง 59/80R63 มีหน้ายางกว้าง 1.47 เมตร สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 101 เมตริกตัน. และรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ถึง 6 ตัน โดยที่น้ำหนักของยาง 59/80R63 V-Steel E-Lug S tire อยู่ที่ 5.1 เมตริกตัน.

Bridgestone Corporation ผู้ผลิตยางรถยนต์อันดับต้นๆของโลก ผลิตและจำหน่ายยางขนาดใหญ่สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ รถตักและรถบรรทุกขนาดใหญ่สำหรับงานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ผลิตและจำหน่ายยางมาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งผลิตยางที่รองรับการบรรทุกน้ำหนัก 360 ตัน ให้กับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย เอเชียและทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดย Bridgestone มียอดขายร้อยละ 78 ของการจำหน่ายยางทั้งหมดทั่วโลก รวมทั้งบริษัทยังเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬา เคมีภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวกับยาง จัดจำหน่ายกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

Bridgestone กับการพัฒนาครั้งใหม่ โดยผลิตยาง 59/80R63 V-Steel E-Lug S ยางเครื่องจักรขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ รองรับการบรรทุกหนัก 380-400 ตัน ได้พัฒนายางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ออกแบบและผลิตยางขนาดใหญ่กว่าเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ยางใหม่นี้ขนาด 59/80R63 V-Steel E-Lug S เป็นยางเรเดียลสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้งานในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ซึ่งรองรับน้ำหนักเพิ่มจากเดิม 360 ตัน เป็น 380-400 ตัน โดยมีการพัฒนาโครงสร้างยางให้มีความแข็งแรง ทนทาน ต่อการบรรทุกในอัตรามากๆ และโครงสร้างยางใหม่ที่พัฒนานี้ยังช่วยลดอัตราความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยางจากของมีคมในส่วนหน้ายางและแก้มยาง และส่วนผสมของดอกยางที่พัฒนาขึ้นใหม่ยังช่วยลดการสึกหรอของยางอีกด้วย โดยยาง 59/80R63 V-Steel E-Lug S มีขนาดหน้ายางกว้าง 1.47 เมตร กว้างกว่ายาง 55/80R63 เดิม 9 เซนติเมตร และรองรับน้ำหนักได้ 101 เมทริกตัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 6 ตัน น้ำหนักยางอยู่ที่ 5.1 ตัน ซึ่งเพิ่มจากเดิม 0.4 ตัน และจะเริ่มจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2002 นี้

ลิ้งค์สำหรับยางรถตักขนาดใหญ่ Giant OTR
15.5-25 17.5-25 18.00-25 20.5-25 23.1-26 23.5-25 18.00R25 16.00R25 14.00R25 26.5-25 29.5-25 21.00R35 45/65R45

ยางรถตักเล็ก (Skid Steer Tyres), รถตักล้อยาง komatsu, รถตัก JCB, รถตักเอวอ่อน, รถตักดิน, อะไหล่รถตัก, รถแม็คโคร, รถขุด, รถขุดล้อยาง, รถตักหน้าขุดหลัง, รถขุดดิน, รถขุด komatsu, รถขุด kobelco, รถขุดเล็ก, รถแบคโฮ, รถตักล้อยาง

5.70-12, 23x8.50-12, 5.50-15, 7.50-15, 27x10.50-15, 27x8.50-15, 10-15, 12/65-15, 125/65-15, 27x10.50-15, 31x15.50-15, 33x12.50-15, 125/70-16, 14.0/65-15, 12.5/70-16, 15.5/60-16, 15.0/55-17, 15.0/55-17 (380/55-17), 10-18, 10.5/80-18 ,12.0/12.5-18, 12.5/80-18, 12.0/12.5-18, ,15.5/60-18, 15.5/70-18, 10-16.5 NHS, 12-16.5 NHS, 14-17.5 NHS, 15-19.5 NHS, 16.0/70-20 (405/70-20), 42x17-20, 17.5/65-20, 14.9-24, 16/70-24 (405/70-24), 500/60-22.5 (161A8/149A6)


ยางรถตัก (Loader&Dozer Tyres)

16.9-24, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 16.9-24, 18.4-24, 19.5L-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, -25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 18.00-25, 21.00-25, 18.4-26, 16.9-28, 29.5-29, 18.00-33, 35/65-33, 21.00-35, 24.00-49, 27.00-49, 45/65-45, 50/65-51, 65/60-51, 30.00-51, 55.5/80-57, 65/65-57

ลิ้งค์สำหรับขนาดยางรถตัก

10-16.5 12-16.5 12.5-18 12.5-20 12.5/70-16 12.5/80-18 13.00-24 14-17.5 14.00-20 14.00-24 15-19.5 15.5-25 15.5/60-18 15.5/70-18 16.0/70-20 16.00-25 16.9-24 16.9-28 17.5-25 18.4-26 20.5-25 23.5-25 23x8.50-12 14.00R24 20.5R25 23.5R25 18.00R25 26.5R25 29.5R25 26.5-25 27x10.50-15 27x8.50-15 33.25R29 29.5-25 29.5-29 31x15.50-15 18.00R33 33x12.5-15 24.00R35 21.00R35 29.5R35 35/65-33 45/65R45 24.00R49 27.00R49 36.00R51 7.00-12

จำหน่ายทุกยี่ห้อ อาธิเช่น ยาง AUFINE , ADVANCE , DEESTONE , DURO , BKT , BRIDGESTONE , ARMOUR , SHUNGIN , VEE RUBBER , DOUBLE COIN , OASIS , SAMSON , OTANI , HANKOOK , AEOLOUS , CONTINENTAL , MICHELIN , EXCEL , NAGANO , SIAMES , AMS และอื่นๆอีกมากมาย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tiretruckintertrade.com/

บทความต่างๆเกี่ยวกับยางรถยนต์และบทความน่ารู้เกี่ยวกับการใช้รถยนต์

FANPAGE : https://www.facebook.com/tiretruckcenterintertrade

EMAIL : SALE@TIRETRUCKINTERTRADE.COM

TEL. : 053-510068 , 083-0938048 , 094-7201988   FAX : 053-510068

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.gizmag.com/the-worlds-biggest-production-tire--the-63-inch-titan/9726/ , http://www.bridgestone.com/products/speciality_tires/off_the_road/information/200111.html
สาเหตุที่ทำให้ดอกยางสึกไม่เท่ากัน

สาเหตุที่ทำให้ดอกยางสึกไม่เท่ากัน

ในยางออฟโร้ด และยางประเภทอื่นๆที่มีลักษณะดอกยางเป็นบั้งๆ หากนำมาใช้งานบนท้องถนนแล้วท่านได้ยินเสียงดังจนผิดปกติ อย่าชะล่าใจเป็นอันขาด เสียงเหล่านี้เป็นการแจ้งเตือนถึงปัญหาของยาง ให้ท่านตรวจเช็คลักษณะของยาง อายุการใช้งานของยางใช้มานานถึงกำหนดเปลี่ยนยางหรือยัง เนื้อยางยังนิ่มใช้งานได้อยู่หรือไม่ ตัวยางและแก้มยางยังคงสภาพปกติดีหรือไม่ หากเนื้อยางยังนิ่มไม่เสื่อมสภาพ ต่อมาให้สังเกตุการสึกของดอกยางสม่ำเสมอดีอยู่หรือไม่ หรือดอกยางของท่านมีการสึกของดอกยางไม่เท่ากัน

จากสาเหตุพื้นฐานที่ว่ากันด้วยขนาดของลมยางที่เติมไม่ตรงกับค่าที่กำหนดไว้ คือ มีลักษณะดอกยางสึกเฉพาะตรงกลางยาง อันเนื่องมาจากการเติมลมที่แข็งเกินไป และอีกลักษณะคือดอกยางสึกเฉพาะด้านริมของยางทั้งซ้ายและขวา สาเหตุนี้เกิดจากการเติมลมยางอ่อนเกินไป แก้ไขได้โดยการเติมลมยางให้ถูกต้องตามที่ค่ามาตรฐานกำหนด

แต่หากท่านพบว่ายางรถของท่านมีอาการดอกยางสึกไม่เท่ากัน ในลักษณะดอกยางสึกเป็นบั้งเว้นบั้น หรือสึกเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ อาการเหล่านี้กำลังบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพการทำงานของช่วงล่างรถของท่านกำลังมีปัญหา ซึ่งอาจไม่ได้เกิดจากคุณภาพของยางไม่ดีแต่อย่างใด สิ่งที่ท่าควรทำคือ นำรถของท่านไปเช็คระบบช่วงล่าง ปัญหานี้จะพบมากในรถที่ช่วงล่างเป็นปีกนก สาเหตุเกิดการเสื่อมของบูชปีกนก ลูกหมากปีกนก ยางหุ้มบูชต่างๆเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ปีกนกคลอน ไม่แน่น ส่งผลให้เซ็นเตอร์ของมุมล้อขยับเมื่อเกิดการกระแทก ทำให้ยางกินดอกยางไม่สม่ำเสมอขณะใช้งาน ลักษณดอกยางจึงมีการสึกเป็นบั้งได้ อย่าลืมเช็คลูกปืนล้อว่ามีการชำรุดหรือไม่ หากลูกปืนล้อชำรูด ส่งผลให้จังหวะการหมุนของล้อไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการดอกยางสึกไม่เท่ากันได้เช่นกัน
 สิ่งสุดท้ายที่จะต้องตรวจเช็คคงเป็นโช้ค ต้องดูว่ารถของท่านใช้งานมากี่ปี หากมีอายุการใช้งานนานพอสมควร ระบบช่วงล่าง อย่างโช้คอาจเสื่อมสภาพ ทำให้ความหนึดของโช้คเปลี่ยน มีอาการโช้คแข็งไม่เด้งรับแรงกระแทก หรืออาจมีอาการโช้คนิ่ม เด้งยวบยาบ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ส่งผลต่อการสึกของดอกยางอย่างชัดเจน
แต่หากยางรถของท่านเกิดการสึกที่ขอบยางเพียงด้านใด อาจเกิดจากการปรับแต่งที่ผิดค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น การโหลดเตี้ย หรือยกสูง ซึ่งการโหลดเตี้ยนั่นยางจะสึกขอบยางด้านในมากกว่าด้านนอก เนื่องมุมแคมเบอร์ของล้อมีองศาเปลี่ยนไป ทำให้ล้อแบะและยางด้านในจะถูกกดทับมากกว่าด้านนอก เป็นที่มาว่าทำไมขอบยางด้านในถึงมีการสึกมากกว่าส่วนอื่น สามารถปรับแก้ได้โดยการติดตั้งปีกนกแบบปรับมุมแคมเบอร์ได้ หรือหากท่านไม่อยากติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ก็สามารถสลับยางให้บ่อยขึ้น โดยสลับยางด้านในกลับมาไว้ด้านนอกกรณียางของท่านเป็นยางแบบไร้ทิศทางก็สามารถกลับหน้ายางได้เลย แต่หากยางของท่านเป็นยางแบบมีทิศทาง คือใช้วิ่งทางเดียว กรณีนี้จะไม่สามารถกลับหน้ายางได้ เนื่องจากยางถูกออกแบบมาให้ใช้ทิศทางที่กำหนดไว้ หากมีการกลับหน้ายางให้สวนทางกลับทิศทางของยาง อาจก่อให้เกิดเสียงรบกวน และยังลดประสิทธิภาพการทำงานของยางลงจากที่ออกแบบไว้อีกด้วย ส่วนการยกสูงก็จะทำให้ดอกยางสึกขอบยางด้านนอกนั่นเอง
เมื่อทราบดังนี้แล้ว ท่านผู้ใช้รถใช้ถนน ก้ควรมั่นดูแลรถของท่านให้พร้อมกับการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสวัสดิภาพในการเดินทางด้วยความปลอดภัยตลอดเส้นทาง

facebook fanpage

latest tweets