ตั้งศูนย์คืออะไร แล้วทำไมรถยนต์ต้องตั้งศูนย์ล้อ?

ตั้งศูนย์คืออะไร แล้วทำไมรถยนต์ต้องตั้งศูนย์ล้อ?

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ หลังจากเปลี่ยนยางใหม่


การตั้งศูนย์ล้อคืออะไร
การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อและยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้นมีชิ้นส่วนต่างๆมากมายที่มีการเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมจะมีการสึกหรอเกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเปคที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเปคของรถ นอกจากนั้นศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนนและการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย กล่าวคือ เมื่อรถถูกใช้งานนานขึ้น คอยส์สปริง, บูช, ลูกยางต่างๆ ก็เริ่มหมดอายุ ความสูงและการกระจายน้ำหนักของรถก็ผิดไปจากมาตรฐานเดิม อันจะส่งผลให้ศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเป็ค เมื่อใดก็ตามที่ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเปค ล้อรถกับตัวถังหรือล้อข้างซ้ายกับล้อข้างขวาก็จะไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน อันจะเป็นผลให้รถวิ่งไม่ตรง หรือเกิดอาการแฉลบ หรือพวงมาลัยดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้ยางสึกผิดปกติ

การตั้งศูนย์เป็นการปรับหน้าล้อให้เท่าๆกัน มุมToe-in Toe-out-มุมเลี้ยว Toe out on turns ซึ่งต้องสัมพันธ์กันทุกมุม เพื่อให้รถวิ่งได้ตรงมากที่สุด โดยที่เราไม่ต้องเกร็งมือในการรั้งพวงมาลัยมากเกินไปจนเกิดการเมื่อยล้า หรือเมื่อปล่อยมือสัก 1 -5 วินาทีรถยังคงวิ่งได้ตรงอยู่ รวมถึงในขณะเลี้ยวล้อคู่หน้าจะต้องเอียงตามตามเหมาะสมและไม่กินหน้ายางมากเกินไป และให้หน้ายางสัมผัสผิวถนนให้มากที่สุด และการตั้งศูนย์ล้อยังช่วยปรับศูนย์รถระหว่างล้อคู่หน้า-คู่หลังให้วิ่งเป็นแนวเดียวกัน

ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ
เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางเกิดการสึกที่ผิดปกติแล้ว ยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้นหากรถที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือสังเกตเห็นว่ายางที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถ จำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการ ซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่างและที่สำคัญคืออันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินและชีวิต รถได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาฉะนั้นรถรุ่นใหม่ๆจึงได้รับการออกแบบ ช่วงล่างฉะนั้นรถรุ่นใหม่ๆ จึงได้รับการออกแบบช่วงล่างและระบบพวงมาลัยที่ต้องการปรับตั้งศูนย์ล้อทั้ง ล้อหน้าและล้อหลัง

องค์ประกอบของศูนย์ล้อ ซึ่งมีการตรวจวัดด้วยกัน 4 มุมคือ
1. TOE-IN และ TOE-OUT
2. CAMBER
3. CASTER
4. KINGPIN

มุม TOE-IN และ TOE-OUT
หมายถึง ลักษณะที่ยางคู่หน้าหุบเข้า หรือยางล้อหน้า ทั้งสองหันเข้าหากัน และ มุม TOE-OUT คือ ล้อหน้าทั้งสองหันออกจากกัน (ดูภาพตัวอย่างประกอบ) ถ้าล้อทั้งสองหันเข้าหากัน มากเกินไป หรือหันออกจากกันมากเกินไป จะทำให้หน้ายางทั้งสองเกิดการลื่นไถลเสียดสีไป ด้านข้างผลคือทำให้ดอกยางสึกอย่างรวดเร็ว หรือสึกไม่สม่ำเสมอมีลักษณะปลายดอกยาง ตวัดขึ้น เหมือนปลายขนนกตลอดหน้ายาง

มุม CAMBER
เป็นการเอียงของยางส่วนล่างหรือส่วนบน ถ้าส่วนล่างเอียงเข้าหากันเราเรียกว่ามุม CAMBER บวก (ดูภาพตัวอย่างประกอบ) การเอียง ยางส่วนบนกางออกในลักษณะ \  / เพื่อให้ยางรับ น้ำหนักบรรทุกได้พอดีกับหน้ายาง เมื่อใช้รถ ไปนานๆ มุมของ CAMBER อาจเปลี่ยนแปลง ไปได้ และถ้าเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่กำหนดไว้น้ำหนักจะกดลงที่ด้านนอกของยางมากกว่า ด้านในทำให้ยางสึกผิดปกติด้านเดียว

มุม CASTER
เป็นมุมที่ทำให้รถวิ่งตรงไปข้างหน้าได้ง่าย ดูตัวอย่างได้จากรถจักรยานขาที่ยึดล้อทั้งคู่จะเอียงไปด้านหน้าเห็นได้ว่ารถ จักรยานสามารถ วิ่งไปโดยปล่อยมือได้ เปรียบได้กับ มุม CASTER ทั้งสองล้อต้องมีมุมเท่ากัน ซึ่งจะทำให้รถวิ่งไปข้างหน้าได้ตรงทาง ถ้ามุม CASTER ข้างใดน้อยกว่าอีกข้าง หนึ่งรถก็จะพยายามหันไปทางด้านน้อย ผู้ขับรถต้องพยายามขืนพวงมาลัยเสมอจะทำให้ยางสึกไม่เรียบเกิดการสึกของดอก ยางใน ลักษณะปลายตวัดเหมือนขนนก

มุม KINGPIN
เป็นตัวรับน้ำหนักจากรถไปยังล้อ และขณะเดียวกันก็เป็น พลาของศูนย์ล้อด้วยมุมของ KINGPIN มีส่วนสัมพันธ์กับมุมของ CAMBER มาก KINGPIN จะช่วยทำให้การบังคับพวง มาลัยทำได้ง่ายและเมื่อเลี้ยวไปแล้วพวงมาลัยสามารถคืนกลับมาได้เอง KINGPIN นี้เหมือน กับ CAMBER ทำให้น้ำหนักรถกดลงที่ด้านนอกของยาง ถ้า KINGPIN ผิดพลาด ผลคือจะทำ ให้ยางสึกหรอด้านเดียว

ศูนย์ล้อที่ผิดพลาดจะทำให้อายุของยางลดลงอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้คร่าว ๆ จากความผิดปกติของการสึกหรอของยางแต่ศูนย์ ล้อที่ไม่ถูกต้องไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า คนส่วนมากจึงไม่ค่อยสนใจซึ่งความจริงที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากส่วนหนึ่ง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คและตั้งศูนย์ล้อเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน หรือภายหลังจากการทำการซ่อมช่วงล่างทุกครั้งเพื่อยืดอายุการใช้งาน ของยาง และเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่

การทดสอบรถหลังจากตั้งศูนย์ล้อ
ถึงแม้ว่าจะมีการตั้งศูนย์ล้อตามสเป็ครถแล้วก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากที่มีผลกระทบต่อศูนย์ล้อเช่น การสึกหรอของระบบช่วงล่าง ระบบโครงสร้างรถยนต์ ลายยาง ลมยาง ดังนั้นหลังจากการตั้งศูนย์ล้อแล้วผู้ใช้รถจึงควรที่จะไปทดสอบรถเพื่อให้ คุ้นเคยกับรถที่ผ่านการตั้งศูนย์มาแล้ว โดยปกติแล้วศูนย์ล้อที่ดีผู้ใช้รถจะต้องสามารถปล่อยพวงมาลัยได้โดยที่รถไม่ เอียงไปด้านในด้านหนึ่ง แต่ควรทดสอบกับถนนทางตรง (โดยทั่วไปแล้วถนนจะเอียงด้านซ้ายเล็กน้อยเพื่อระบายน้ำเวลาฝนตกดังนั้น หากรถที่ทดสอบออกซ้ายบ้างเมื่อปล่อยมือไปได้ระยะหนึ่ง ถือว่าเป็นปกติ) พวงมาลัยรถไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ในขณะที่รถวิ่งตรง เมื่อตั้งศูนย์ได้ค่าถูกต้องแล้วก็จะขับได้อย่างเสถียร แม่นย้ำ พวงมาลัยควบคุมง่าย ไม่กินยาง ไม่เลื่อยตามรอยต่อถนนและเลื่อยเมื่อวิ่งผ่านเส้นแบ่งเลนอีกด้วยครับ

ประโยชน์ของการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
1. สัมผัสถนนเต็มหน้ายาง+ป้องกันหน้ายางสึกไม่เท่ากัน
เมื่อ หน้าสัมผัสยางรถยนต์เต็มพื้นที่ส่งผลให้เพิ่มความสามารถในการเกาะถนน และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมช่วยลดการสึกของหน้ายางไม่เท่ากัน เช่น กินนอก-กินใน เป็นต้น เพราะจะเห็นว่าในมุม Camber นั้นพยายามทำให้ล้อตั้งฉากกับพื้นถนนให้มากที่สุด (ตามสเปคผู้ผลิตของรถรุ่นนั้นๆ)

2. ลดอาการสั่นเวลาวิ่ง
นอก จากการตั้งศูนย์แล้ว การถ่วงล้อจะช่วยให้เวลาวิ่งรถจะไม่สั่นสะท้าน (ในกรณีระบบช่วงล่างปกติ) แม้จะเคยถ่วงล้อมาแล้ว แต่การใช้งานประจำอาจมีการสึกของหน้ายางที่ไม่เท่ากัน การหลุดของตะกั่วที่ติดถ่วงเอาไว้ ซึ่งส่งผลให้ยางไม่มีความกลม และจะมีจุดที่น้ำหนักมากกว่าจุดอื่นๆ เกิดขึ้น ดังนั้นการถ่วงล้อเป็นประจำ อย่างน้อยทุกๆ 20,000 กิโลเมตร จะช่วยให้การขับขี่รถคุณราบรื่นมากขึ้นครับ
ถ้ารื้อช่วงล่างออกมาก็จำเป็นต้องตั้งศูนย์

3. ปรับให้ศูนย์รถกลับมาเป็นปกติหลังจากซ่อมระบบช่วงล่างหรือโหลดเตี้ย-ยกสูง
รถ ที่ผ่านการแก้ไข ปรับเปลี่ยนระบบช่วงล่างทั้งซ่อมแร็คพวงมาลัย, เปลี่ยนลูกหมากคันชัก-คันส่ง, เปลี่ยนลูกปืนล้อหน้า รวมถึงการเปลี่ยนชุดสปริงโหลดหรือยกสูง ย่อมส่งผลต่อมุมศูนย์ล้อโดยตรง ดังนั้นหลังจากมีการปรับแต่งช่วงล่างแล้วควรตั้งศูนย์ด้วยนะครับ

ถ่วงล้อ
การถ่วงล้อคือ ทดสอบการหมุนของล้อด้วยเครื่องถ่วงดูว่ามีการแกว่งมากน้อยเพียงใด ส่วนมากมักทำเมื่อเปลี่ยนล้อและยางชุดใหม่ โดยล้อและยางมีน้ำหนักของเส้นรอบวงไม่สม่ำเสมอกัน ซึ่งเกิดจากการผลิตเนื้อที่อาจมีน้ำหนักไม่เท่ากันหรือล้อแม็กมีจุดศูนย์ถ่วงไม่เท่ากันตลอดเส้นรอบวง ดังนั้นเมื่อรวมกันก็เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่ไม่พอดี จึงเกิดการสั่นเมื่อล้อหมุน ซึ่งการถ่วงล้อก็เป็นการเอาชุดตะกั่วถ่วงที่มีขนาดเล็กๆ ตามน้ำหนักที่เครื่องถ่วงล้อแสดงขึ้นมา เพื่อให้ช่างติดตะกั่วตามจุดต่างๆ ให้มีความบาลานซ์ขึ้น ทำให้ล้อไม่แกว่งขณะหมุนนั่นเองครับ

วิธีการถ่วงล้อ

เครื่องถ่วงล้อมี 2 ชนิดหลักๆ คือ แบบถอดล้อถ่วงด้วยเครื่อง และถ่วงล้อแบบประชิด โดยใช้เครื่องจี้ที่ล้อโดยตรง วิธีประชิดล้อจะค่อนข้างแม่นยำกว่า เพราะจะเป็นการหมุนล้อพร้อมกับแกนล้อ, ลูกปืน, หรือเพลาขับ (กรณีล้อขับเคลื่อน) และราคาก็แตกต่างกันออกไป นอกจากต้องถ่วงล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่แล้ว คุณต้องตรวจเช็คทุกๆ 10,000 กม. ด้วยครับ


รถยนต์ทุกคันจึงจำเป็นต้องตั้งศูนย์ล้อและถ่วงล้อ ไม่ว่ารถที่ตั้งได้เฉพาะ 2 ล้อหน้าหรือ 4 ล้อก็ตาม เพื่อการควบคุมรถและการยืดอายุของชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ ความปลอดภัยครับ การตั้งศูนย์ล้อที่ดีนั่นหมายถึงการควบคุมรถได้เสถียรมากขึ้น หรือควบคุมรถได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อต้องเบรกหรือหักหลบอย่างกะทันหันจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ข้อควรระวังในการใช้รถ ที่ไม่ควรมองข้าม

ข้อควรระวังในการใช้รถ ที่ไม่ควรมองข้าม

กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนานพอสมควร วันนี้เรามีบทความดีๆเกี่ยวกับข้อควรระวังในการใช้รถมานำเสนอ เพื่อช่วยให้ท่านเดินทางปลอดภัยตลอดเส้นทาง


1. อย่าลากเกียร์ใดเกียร์หนึ่งระยะยาว
    การใช้เกียร์ควรทำให้เหมาะสมกับรอบเครื่องและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ โดยควรเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบเครื่องเฉลี่ยที่ 2500 รอบและไม่เกิน 3000 รอบ ซึ่งการทำเช่นนี้นั้น จะช่วยถนอมอายุการใช้งานของเกียร์ คลัช อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันอีกด้วย

2. อย่าขับรถจนน้ำมันหมดถัง
    การขับรถจนน้ำมันหมดถัง จะทำให้เกิดตะกอนค้างที่เครื่องกรองน้ำมันได้ ส่งผลให้เครื่องกรองน้ำมันเสื่อมสภาพและอายุการใช้งานลดลง

3. ควรปรับพวงมาลัยให้อยู่ในตำแหน่งที่ถนัดมือ คล่องตัวและสบายในการขับขี่
    รถรุ่นใหม่สามารถปรับแกนพวงมาลัยให้เหมาะสมกับร่างกายของผู้ขับขี่ได้ อย่าปรับให้พวงมาลัยจนอยู่ในตำแหน่งที่มองแผงหน้าปัดยาก ล็อคแกนพวงมาลัยให้มั่นคงหลังจากปรับตำแหน่งที่ถนัดแล้ว ห้ามปรับพวงมาลัยในขณะรถเคลื่อนที่เด็ดขาด

4. อย่าให้ไฟส่องสว่างของรถดวงหนึ่งดวงใดขาด
    สัญญาณไฟแสดงให้รถคันอื่นเข้าใจถึงเจตนาการขับขี่ของเรา แต่หากไฟสัญญาณดวงหนึ่งดวงใดขาดไป อาจทำให้เป็นอันตรายแก่การใช้รถใช้ถนนไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเลี้ยว หรือไฟเบรค ควรตรวจสอบระบบไฟส่องสว่างอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยทั้งคุณและเพื่อนร่วมทาง
5. กระพริบไฟหน้าแทนแตร
    การกระพริบไฟหน้าเป็นสัญญาณสูง ต่ำ สูง ต่ำ เป็นการเตือนผู้ขับขี่รายอื่นให้ระวังรถของเราได้ในกรณีที่คาดว่ารถคันอื่นนั่นอาจไม่ได้ยินเสียงแตรจากรถของเรา
6. อย่าปล่อยเกียร์ว่างขณะขับรถลงทางลาด หรือลงเขา
    การปล่อยให้รถไหลไปเองโดยไม่ใช้การขับเคลื่อนจะทำให้เกิดความเร็วสะสมสูง เมื่อพบเจอสิ่งกีดขวางหรือเมื่อต้องการชะลอความเร็วอาจทำให้ควบคุมรถได้ยาก และเป็นการเพิ่มภาระการทำงานของเบรค ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการเบรคแตกได้
7. ใกล้ทางแยก ทางร่วม อย่าเปลี่ยนเลนกะทันหัน
    เมื่อใกล้ทางแยก ทางร่วม คุณต้องตัดสินใจให้ดีว่าคุณกำลังจะไปทางไหน ซ้าย-ขวา หรือตรง อย่าตัดเลนซ้ายมาขวา หรือขวามาซ้ายในทันที อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หรือไม่ก็ถูกตำรวจจับแน่นอน
8. อย่าเร่งรถหากกำลังถูกแซง
    จะเป็นการผิดมารยาทอย่างยิ่ง หากรถของคุณที่กำลังถูกแซงเร่งเครื่องหนีด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นว่ารถคันขวาของคุณกำลังจะแซง ควรชะลอความเร็วเพื่อให้รถของเขาแซงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว

9. ขับรถขึ้นเขา
    กรณีขับรถขึ้นเขาหรือเนิน แน่นอนว่ารถของคุณต้องใช้กำลังเพิ่มมากขึ้น การขับต้องเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำกว่าเดิมเพื่อรักษาความเร็วรอบของเครื่องยนต์ และลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ เป็นวิธีขับขี่ที่ถูกต้องและยืดอายุการใช้งานของรถคุณอีกด้วย

10. ขับรถลงทางลาด
    การขับรถขึ้นเนินจะเห็นได้ว่าเราควรที่จะใช้เกียร์ต่ำเพื่อรักษาความเร็วของรถ กรณีลงทางลาดก็ต้องใช้เกียร์ต่ำเช่นกัน การใช้เกียร์ต่ำนั้นเพื่อลดอัตราเร็วของรถแทนการใช้เบรค เพราะหากใช้เบรคในทางลาดมากไป จะทำให้เบรคลื่นและจับไม่อยู่เนื่องจากความเร็วสะสมและระบบเบรคมีความร้อนสะสมสูงกว่าทางราบปกติ เพื่อป้องกันเบรคแตก

11. จอดรถหันหน้าขึ้นเนิน/ลงเนิน
    การจอดรถประเภทนี้ หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหากกรณีจำเป็นต้องจอดจริงๆ ให้จอดรถชิดขอบทางด้านซ้ายมากที่สุด หมุนพวงมาลัยให้ล้อหันไปทางขวาป้องกันการเคลื่อนที่ อาจใช้การเข้าเกียร์หนึ่งทิ้งไว้และใช้เบรคมือช่วยให้มั่นคงอีกครั้ง

12. เบรคบนทางโค้งอันตราย!
    ควรหลีกเลี่ยงการเหยียบเบรครุนแรงบนทางโค้ง เพราะจะทำให้รถยนต์เสียการทรงตัวและมีแนวโน้มลื่นไถลหลุดโค้งได้ หากเห็นได้ว่าทางข้างหน้าเป็นทางโค้ง ควรชะลอความเร็วและเบรคไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าโค้ง ทำให้ความเร็วขณะเข้าโค้งไม่มาก และสามารถควบคุมรถได้ง่าย และปลอดภัยที่สุด

13. ไฟเขียวให้รีบไปแน่หรือ
    การขับรถบริเวณทางแยกที่มีไฟจราจรกำกับและเป็นไฟเขียวอยู่ เราไม่ควรตะบี้ตะบันเหยียบคันเร่งให้ทันสัญญาณไฟ ควรใช้การสังเกตดูจากรอบตัวว่าไฟเขียวนั้นนานแค่ไหน รถจากอีกฝั่งหนึ่งมีแถวยาวหรือไม่ และควรเว้นระยะกับรถคันหน้าเผื่อหากคันหน้ามีการเบรคกะทันหัน คุณจะไม่ไปชนท้ายคันข้างหน้า ซึ่งถ้าหากเกิดอุบัติเหตุชนท้ายขึ้น คุณนั่นเองที่เป็นฝ่ายผิด

14. ไม่แตะเบรคขณะรถลื่นไถล
    กรณีรถเสียการทรงตัว อันเนื่องจากสภาพถนนลื่น ขอให้คุณตั้งสติให้มั่น อย่าได้ตกใจให้ยกเท้าออกจากคันเร่งและจับพวงมาลัยให้มั่นคงควบคุมให้รถบนถนน ถึงแม้รถคุณอยู่ในสภาวะลื่นไถลห้ามแตะเบรค หรือเหยียบเบรคโดยเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก รถของคุณจะหมุนทันที และหากคุณใช้ความเร็วสูงอาจทำให้เกิดการพลิกคว่ำขึ้นได้

15. ยางอะไหล่ต้องพร้อมเสมอ
    รถทุกคันมียางอะไหล่ติดตั้งไว้จากโรงงานอยู่แล้ว แต่เราควรที่จะตรวจสอบสภาพของยางอะไหล่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นลมยางควรต้องมีความดันลมตามมาตรฐานเสมอ ไม่อ่อนจนเกินไป เพราะหากเกิดฉุกเฉินยางรั่วหรือแตกขึ้นมา จะได้นำยางอะไหล่นั้นใช้งานได้ทันที

16. ดินโคลนเจ้าปัญหา
    อย่าปล่อยให้ดินโคลนติดอยู่กับรถเป็นเวลานาน ควรเอาใจใส่ทุกๆ จุดแม้ใต้ท้องรถที่คิดว่าดินโคลนจะไปเกาะติดได้ เพราะดินโคลนเมื่อติดจับอยู่กับสิ่งใดเป็นเวลาจะก่อให้บริเวณนั้นเป็นสนิมได้ ทางที่ดีควรมีการล้าง อัด ฉีด รวมถึงล้างช่วงล่างบ้าง อย่างน้อยๆ เดือนละครั้ง

ไม่มากเกินไปใช่ไหมครับ กับข้อควรระวังในการใช้รถที่เรานำเสนอให้ เพียงใส่ใจในการขับขี่สักนิด สามารถเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากเลยทีเดียว
ไนโตรเจน ลมยางอัจฉริยะเพื่อยางรถของคุณ

ไนโตรเจน ลมยางอัจฉริยะเพื่อยางรถของคุณ


การเติมลมยางใช้ไนโตรเจน ดี หรือไม่
จากคำถามที่คุณลูกค้าถามพนักงานศูนย์บริการบ่อย ๆ ว่า เติมลมยางไนโตรเจน ดีหรือไม่ ผมเลยเก็บคำถามและตอบข้อสงสัยคุณลูกค้า เพื่อให้มั่นใจและตัดสินให้ถูกว่าจะใช้อย่างไหนดี ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับไอ้เจ้า ไนโตรเจน ก่อนว่าความเป็นมามันเป็นอย่างไร

ไนโตรเจน มีสัญลักษณ์ N เป็นอโลหะมีสถานะเป็นแก๊ส มีอยู่ทั่วไป โดยปกติไม่มีสี กลิ่น หรือรส ไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบของบรรยากาศของโลกซึ่งมีมากถึง 78 % ของบรรยากาศโลก และยังเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อในสิ่งมีชีวิต จะเห็นว่าไนโตรเจน เป็นส่วนประกอบของบรรยากาศโลกและอากาศที่เราหายใจ ประโยชน์ของไนโตรเจนมีมากมาย แต่ที่กล่าวถึงก็เกี่ยวกับข้อสงสัยของคุณลูกค้าที่ได้ถามมา เรามาดูข้อดีของไนโตรเจนกันก่อน เมื่อเรานำมาเติมเป็นลมยาง




ข้อดีของการเติมไนโตรเจน
1. ไนโตรเจนไม่ทำให้กระทะล้อเป็นสนิท เพราะไนโตรเจนไม่ส่วนประกอบของไอน้ำ หรือ H2O ซึ่งน้ำหรือไอน้ำจะไปทำปฏิกิริยากับกระทะล้อที่เป็นเหล็กจะก่อให้เกิดสนิม
2. แป้งที่เคลือบยางก็จะไม่เป็นก้อน เพราะหากเราเติมลมธรรมดาในลมที่เราเติมเข้าไปจะประกอบด้วยไฮโดรเจน ออกซิเจนและสารอื่น ๆ เมื่อมีการรวมตัวของไฮโดรเจนและออกซิเจน ก็จะเกิดเป็นหยดน้ำเช่นกัน ก็จะทำให้แป้งที่เคลือบยางกลายเป็นก้อน หากใช้ไปนาน ๆ ก้อนแป้งก็จะโตขึ้นและทำให้ความสมดุลของล้อเปลี่ยนไป ถ่วงยางใหม่ก็ถ่วงไม่ลง
3. ช่วยในการลดการระเบิดของลมยาง เพราะก๊าสไนโตรเจนเป็นก๊าซเฉื่อย การขยับตัวจะเคลื่อนที่ช้า โมเลกุลเสียดสีกันน้อย ทำให้เกิดความร้อนสะสมของลมยางน้อย แรงดันลมมีการเปลี่ยนแปลงน้อย ทำให้มีโอกาสการระเบิดน้อย ( การระเบิดของยางส่วนใหญ่ เกิดจากแรงดันลมที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับโครงสร้างของผ้าใบของยางเสื่อมคุณภาพ ทำให้เกิดระเบิด )
แรงดันในล้อหรือแรงดันลมเพิ่มได้อย่างไร ? เนื่องจาก ออกซิเจนและไฮโดรเจนเมื่อรวมตัวกันเป็นน้ำ ทำให้เมื่อยางร้อนก็จะมีการแยกของอะตอมและจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นทำให้แรงดัน ลมยางไม่แน่นอน ทำให้มีโอกาสที่ยางจะระเบิดได้
4. ไนโตรเจนสามารถทำให้การขับขี่นุ่มนวล และเสียงดังจากยางกระทบกับคลื่นตะเข็บของถนนลดลง ( ถ้ายาง ซีรี่ย์ต่ำจะเห็นผลน้อย )
5. ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย ๆ เพราะอะตอมไนโตรเจนมีขนาดโตกว่าออกซิเจน ทำให้การซึมผ่านของไนโตรเจนน้อยกว่า

6. ยืดอายุการใช้งานของยาง เพราะหากเติมลมธรรมดา ออกซิเจนจำนวนมากจะไปทำปฏิกิริยากับสารเคมีในยาง ทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็ว หากเติมไนโตรเจนช่วยให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวขึ้น เนื่องจากไนโตรเจนเป็นก๊าซเฉื่อย ทำให้อุณหภูมิยางน้อย
7. จากการทดสอบในอเมริกา เติมลมไนโตรเจนช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เหตุผล ด้วยอุณหภูมิของล้อที่ลดลง จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน
8. ขับปลอดภัยขึ้นแน่นอน เพราะยางอุณหภูมิไม่สูง โอกาสจะระเบิดน้อย


ข้อเสียย่อมมีอยู่จริง
1. การเติมลมยางรถยนต์ไนโตรเจนแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก ราคาหลักร้อยจนถึงหลายร้อยบาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องเติมลมของแต่ละร้านที่ให้บริการ ยิ่งทันสมัยมากยิ่งราคาแพง
2. ร้านที่ให้บริการยังค่อนข้างหายากมาก และแต่ละร้านอยู่ห่างไกลกัน ทำให้ในบางครั้งต้องใช้เวลาในการเดินทางไปยังร้านต้องมีเวลาเหลือเฟือที เดียวเพื่อนำรถไปเติมลมยางรถยนต์ ซึ่งข้อนี้ต่างจากการเติมลมแบบเดิมที่สามารถหาเติมได้ตามปั๊มน้ำมันทั่วไป อย่างสิ้นเชิง
3. บางครั้งเครื่องเติมลมไนโตรเจนของร้านอาจไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถแยกออกซิเจนออกจากไนโตรเจนได้ทั้งหมด ทำให้เกิดการปะปนเข้าไปข้างในยาง ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่เราต้องเสียค่าบริการเต็มๆ
Mud Clawer R408 ยางออฟโร้ดสัญชาติไทย จาก Deestone

Mud Clawer R408 ยางออฟโร้ดสัญชาติไทย จาก Deestone

Mud Clawer R408 ยางที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชอบความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินโคลน หินขรุขระ ไหล่ยางออกแบบบั้งสลับให้การตะกุยและแรงฉุดกระชากมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการเกาะถนนดีเยี่ยม

รายละเอียดและคุณสมบัติ
1. Aggressive Tread Design
บล็อกลายดอกยางดุดัน ช่วยในการยึดเกาะและประสิทธิภาพการควบคุมที่ดีเยี่ยม ในสภาพสภาวะดินโคลนและหินขรุขระ
ออกแบบให้หน้ายางสัมผัสถนนกว้าง ช่วงประสิทธิภาพในการตะกุย
2. Stepped Tread Blocks
บล็อกดอกยางออกแบบพิเศษเป็นระดับขั้น เพื่อสลัดโคลนช่วยทำความสะอาดในตัว

 
3. Special Shoulder Block Design
ไหล่ยางออกแบบ บั้งสลับ ให้การตะกุยและแรงฉุดกระชาก อย่างดีเยี่ยม
ไหล่ยาง มีช่องว่างเปิด เพิ่มความสามารถในการเกาะถนนและสลัดโคลนทำความสะอาดในตัว
4. Aggressive Sipes & Stone Ejector
ออกแบบให้มี แถบนูนรูปสายฟ้าเพื่อให้ช่วยดีดหินให้หลุดออกจากร่องหน้ายาง
ออกแบบให้มี Sipes ดูลุยดุดัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะและการควบคุมรถในทุกสภาวะ

 
5. Heavy duty construction
ออกแบบโครงสร้าง High - Ply Turn UP โดยชั้นผ้าใบจะทบขึ้นมาสูงเพื่อเสริมความแข็งแรงให้โครงยางสามารถรับแรงกระแทกได้ดี
6. Special Formular Tread Compound
สูตรยางพิเศษ สามารถต้านทานการฉีกขาด และ ช้ำจากการกระแทก ได้อย่างดี

ยางออฟโร้ด 4x4
33x12.5R15 31x10.5R15 30x9.50R15 285/75R16 265/75R16 245/75R16 267/70R17 35x12.5R20 33x10.5-16 36x12.5-16 
วิธีการเลือกยางรถตัก ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

วิธีการเลือกยางรถตัก ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

การเลือกยางรถตักที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่การใช้งานมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเราเลือกยางให้ถูกต้องกับสภาพพื้นที่แล้วจะช่วยให้การใช้งานสามารถประหยัดเวลาและเงินทุนได้อย่างมาก สำหรับยางรถตักชนิดเรเดียลมีราคาค่อนข้างแพงกว่ายางผ้าใบทั่วไป แต่อาจจะช่วยให้ความสามารถในการทำงานของรถตักดีขึ้นและช่วยให้ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นลดลงได้ ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติของยางเรเดียลให้แรงฉุดที่ดีและน้ำหนักเบากว่ายางผ้าใบ จึงช่วยให้ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ยางเรเดียลยังให้การควบคุมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ความเร็วสูงเพราะยางจะมั่นคงกว่ายางชนิดผ้าใบอยู่มาก นอกจากนี้ความต้านทานการหมุนต่ำช่วยให้ผู้ใช้รถตักใช้งานได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งตัวยางไม่สะสมร้อนเมื่อมีใช้งานต่อเนื่องและใช้งานด้วยความเร็วสูง และช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง 

ยางรถตักชนิดเรเดียล เหมาะสำหรับการใช้งานที่ฉุดการสึกหรอของดอกยาง มีระยะทางเป็นปัจจัยสำคัญ และใช้งานบนพื้นผิวเรียบมากกว่ายางผ้าใบ แต่หากผู้ใช้กำลังมองหายางที่ใช้งานได้ดีในพื้นที่ขรุขระ ใช้งานในเหมือง มีความเสี่ยงที่แก้มยางจะโดนตัด บาด หรือทิ่มตำจากสิ่งของมีคม ควรพิจารณาเลือกใช้ยางผ้าใบ เนื่องด้วยยางผ้าใบมีแก้มยางด้านข้างหนา ราคาประหยัด และเหมาะสำหรับใช้งานในระยะทางสั้นๆ


หลังจากพิจารณาการเลือกใช้ชนิดของยางให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ดีที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกลายดอกยางหรือการออกแบบยาง ดอกยางรถตักมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ในการใช้งานรถตักทั่วไปการออกแบบจะเป็นดอกยางชนิด L2 หรือ L3


โดยยาง L2 จะให้แรงฉุดสูงและความสามารถในการสะบัดเศษหิน ดิน ทรายได้ดี เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ดินโคลน หรือพื้นที่อ่อนนุ่ม  


ดอกยาง L3 มีความทนทานต่อหิน กรวด เหมาะกับใช้งานบนพื้นผิวขรุะขระและมีอุปสรรคมากว่าการใช้งานรถตักทั่วไป แต่หากมองหาดอกยางสำหรับใช้งานเพื่อนำไปใช้งานในเหมืองขนาดใหญ่ดอกยางที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่าได้แก่ ดอกยางชนิด L5 หรือ L5S ซึ่งมีความลึกของดอกยางลึกมาก เพิ่มความทนทานต่อการใช้งานและให้อายุการใช้งานยาวนานอีกด้วย

แม้ว่าดอกยางชนิด L4 และ L5 จะมีราคาแพงกว่าดอกยางชนิดที่ต่ำกว่า แต่เมื่อเราคำนวณค่าใช้จ่ายในการใช้งานจริง หากมีการใช้งานตลอดทั้งวัน และต้องการลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยาง หากยางแตกหรือยางระเบิดขณะใช้งาน อาจทำให้งานเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งในส่วนนี้การลงทุนกับยางที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระการใช้งานอีกทั้งประหยัดเงินลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย 

ยางทั่วไปจะมีอายุการใช้งานอยู่ช่วง 2,000 และ 3,500 ชั่วโมง แต่ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ยางที่ใช้งานในเหมืองหินจะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่ายางที่ใช้งานทั่วไปบนพื้นผิวเรียบ
ผู้ใช้งานควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษายางเป็นประจำทุกวัน รวมถึงการตรวจเช็คความดันลมยาง เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของยาง และหากยางมีความดันลมยางต่ำอาจ เมื่อนำไปใช้งานอาจทำให้ยางเกิดความเสียหายได้ อีกทั้งท่านต้องแน่ใจว่าไม่ได้เติมลมยางให้มีความดันลมสูงเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ยางจะระเบิดขณะใช้งาน และทำให้เปลืองน้ำมันและดอกยางสึกหรอไม่เท่ากันอีกด้วย

การเลือกยางที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานอาจสร้างความสับสนให้แก่ท่าน แต่ถ้าหากได้รับข้อมูลและเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หรือจากตัวแทนจำหน่ายก็จะช่วยให้ท่านสามารถใช้งานยางรถที่เลือกได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

4 อุปกรณ์เสริมทันสมัย ที่คุณควรมีติดรถไว้ในยุคสมัยนี้

4 อุปกรณ์เสริมทันสมัย ที่คุณควรมีติดรถไว้ในยุคสมัยนี้

อุปกรณ์ 4 อย่างที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นอุปกรณ์สมัยใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คุณ แถมยังช่วยให้ความปลอดภัยแก่คุณและรถของคุณอีกด้วย อาจไม่ได้เป็นสิ่งของจำเป็นมากนักสำหรับใครบางคน แต่ถึงเวลาคับขันหรือมีเหตุฉุกเฉินต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ประโยชน์กับเราแน่นอนครับ

1. Gps (อุปกรณ์นำทาง/ติดตามตัว)

Gps เป็นเครื่องมือสำหรับนำทาง นับเป็นตัวช่วยที่ดีเมื่อเราต้องเดินทางไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่ชำนาญ และในเวลากลางคืนที่ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ค่อยดีนัก มันจะเป็นตัวช่วยบอกเส้นทาง และคอยเตือนเราถึงเส้นทางข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถมองเห็นทางโค้ง ทางแยก เพื่อให้เราเตรียมพร้อมและยังช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย โดยเฉพาะรุ่นที่ดีๆประสิทธิภาพสูง จะมีบอกที่พักรถ ปั้มน้ำมัน ร้านอาหารริมทาง เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางแก่เราอย่างมาก หรือหากว่าคุณเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินกลางทาง คุณก็สามารถดูจุดขอความช่วยเหลือต่างๆที่แสดงบน Gps ได้อีกด้วย เห็นไหมละครับว่าประโยชน์มีมากมายขนาดไหน อย่างนี้แล้วคุณจะไม่หามาใช้อีกหรือ?

2. กล้องวิดีโอติดรถ

อุปกรณ์ที่ใครหลายคนอาจมองข้าม ซึ่งจริงๆแล้วการมีกล้องติดรถไว้ก็ดีครับ เพราะหากเราเกิดอุบัติเหตุ หรือมีปัญหาเกิดขึ้นกับรถของเรา กล้องตัวนี้แหละจะคอยเป็นพยานชั้นดีที่สามารถช่วยเราพิสูจน์ความถูกผิด หรือบางทีเราจอดรถทิ้งไว้ที่ลานจอดแล้วเกิดมีรถมาชนรถเราแล้วหนี ก็สามารถใช้ภาพในกล้องเพื่อเอาผิดกับรถดังกล่าว หรือเอาให้ประกันรถดูได้เลยว่าเราไม่ได้เป็นคนทำเอง ซึ่งปัจจุบันกล้องเหล่านี้ราคาไม่แพงเลย คุณก็สามารถหามาติดรถของคุณได้ไม่ยากเลย

3. ที่ชาร์จไฟสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ

การมีที่ชาร์จไฟสำหรับโทรศัพท์มือถือหรือโน๊ตบุ๊ค เมื่อเราต้องการใช้งานได้ยามฉุกเฉิน แล้วเกิดแบตหมดหรือไฟไม่พอ เราสามารถใช้ที่ชาร์จเหล่านี้แหละในการช่วยให้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ต่างๆสามารถทำงานได้ และควรหาซื้อที่ชาร์จที่มีคุณภาพเพื่อให้ถึงเวลาที่ต้องการใช้งานจริงแล้วจะไม่เกิดปัญหาในขณะนั้น โดยไม่แนะนำให้เสียอุปกรณ์ที่ต้องการชาร์จในขณะที่เรากำลังสตาร์ทรถ เพราะขณะที่สตาร์ทรถนั้น จะมีกระแสไฟกระชากเกิดขึ้นซึ่งจะทำให้อุปกรณ์ที่ใช้เกิดความเสียหายจากไฟกระชากได้ และในปัจจุบัน power bank (อุปกรณ์เก็บกระแสไฟสำรอง) ราคาถูกลงมาก ท่านอาจจะหาซื้ออุปกรณ์นี้มาติดรถไว้ใช้ยามจำเป็นก็ไม่เลวเลยครับ

4. ค้อนทุบกระจกเอนกประสงค์

บางท่านอาจจะรู้อยู่แล้วว่าอุปกรณ์นี้ใช้งานและมีประโยชน์อย่างไร แต่มีผุ้ใช้รถอีกไม่น้อยที่ยังไม่ทราบถึงประโยชน์และการใช้งานของมัน ค้อนทุบกระจกเอนกประสงค์ โดยอุปกรณ์นี้ประกอบด้วย
- ค้อนทุบกระจก มีลักษณะเป็นเหล็กปลายแหลม ซึ่งง่ายๆครับเอาไว้ทุบกระจกให้แตกในขณะที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับท่านแล้วกระจกไม่สามารถเลื่อนขึ้น-ลงได้
- ไฟฉาย ในบางรุ่นมีไฟฉายติดมาในตัว เพื่อใช้ส่องสว่างในยามค่ำคืน หรือใช้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้อีกด้วย
- ที่ตัดสายคาดนิรภัย ขณะที่เกิดเหตุการณ์คับขันหรืออุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับท่าน ในบางกรณีท่านไม่สามารถปลดเข็มขัดนิรภัยได้ ท่านสามารถใช้ที่ตัดนี้ตัดสายคาดนิรภัยออกได้เลย
- ที่วัดแรงดันลมยาง ในบางรุ่นมีการติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงดันลมยาง ท่านสามารถใช้ประโยชน์ในการตรวจวัดระดับแรงดันลมยางรถของท่านให้พร้อมในการเดินทางอยู่เสมอ เพื่อความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง

เห็นไหมละครับว่าของที่ดูเหมือนของเล่น ทำประโยชน์ให้แก่คุณและรถของคุณได้มากขนาดไหน ดังนั้นหากคุณมีงบประมาณเพียงพอสำหรับสิ่งของเหล่านี้ ก็หามาติดรถของคุณไว้ไม่เสียหลายครับ เมื่อถึงยามคับขันสิ่งเหล่านี้จะตอบแทนเม็ดเงินที่คุณเสียไปให้กับมันอย่างแน่นอน ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะต้องชอบกับประโยชน์ของมัน ^_^
ประเภทและคุณสมบัติของยางรถปิคอัพ ยางรถกระบะและ SUV ชนิดต่างๆ

ประเภทและคุณสมบัติของยางรถปิคอัพ ยางรถกระบะและ SUV ชนิดต่างๆ

ยางรถยนต์ ถือเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนสู่พื้นผิว และแบกรับภาระน้ำหนักของรถในเวลาเดียวกัน โดยที่ยางแต่ละประเภท ออกแบบให้มีคุณสมบัติเพื่อการใช้งานที่ต่างกันออกไป สำหรับยางที่ใช้กับรถปิคอัพ รถกระบะและเอสยูวี รวมถึงรถที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ 4WD สามารถแบ่งประเภทยางออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

 



HIGHWAY TERRAIN (HT)

ยางประเภทนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ติดตั้งมากับรถปิคอัพจากโรงงานผู้ผลิต เด่นเรื่องของสมรรถนะบนถนนหลวง ทั้งเรื่องการยึดเกาะพื้นผิว การรีดน้ำได้ดี แถมยังนุ่มและเงียบกว่ายางสำหรับรถ 4x4 ทุกประเภท โครงสร้างของยางไม่ซับซ้อนไปกว่ายางเรเดียล จึงทำความเร็วได้สูง แต่ไม่เหมาะกับการบรรทุกหนัก และการเอาไปลุยหรือปีนป่ายเนินชัน เนื่องจากการออกแบบดอกยางที่เรียบและละเอียด รวมถึงแก้มยางที่บอบบางกว่ายางรถออฟโร้ด ความแข็งแรงทนทานจึงน้อยกว่ายางออฟโร้ดเมื่อต้องเจอกับเส้นทางที่มีอุปสรรค เมื่อต้องเหยียบข้ามผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กิ่งไม้ เศษหินที่แหลมคม

ALL TERRAIN (AT)

 เด่นที่ดอกยาง หนา โต ใส่แล้วเสริมหล่อให้กับรถคันโปรดของคุณได้อย่างดี จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มของผู้ใช้รถ 4x4 เพราะโครงสร้างของยางชนิดนี้แข็งแรงกว่าแบบแรก และยังสามารถใช้งานบนถนนหลวงได้ดี ให้การยึดเกาะที่ดีและเสียงรบกวนไม่มากนัก สมรรถนะในการลุยเส้นทางทุรกันดาร ทำได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงขั้นใช้งานสำหรับการลุยหนัก ส่งผลให้มียางให้เลือกมากรุ่น แต่ก็มีความแตกต่างกันในแต่ละรุ่น เช่น หน้ายาง ดอกยาง จำนวนชั้นผ้าใบ และใยเหล็กที่ไม่เท่ากัน ทำให้ยางชนิดนี้หนักกว่ายางแบบ HIGHWAY TERRAIN รวมถึงความนุ่ม เงียบ และสมรรถนะในการใช้ความเร็วก็จะลดลงด้วย

MUD TERRAIN (MT)



สำหรับขาลุยหนักตัวจริงคงถูกใจกับยางชนิดนี้ เพราะทำให้รถ 4x4 ที่ใช้ดูดุดันขึ้นอย่างมาก รูปแบบของดอกยางที่เป็นบั้งลึก มีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง เนื้อยางมีมากกว่ายาง 2 ชนิดแรก ทำให้เรื่องของการตะกุย รวมถึงการปีนป่ายในสภาพเส้นทางที่โหดทำได้ดี เป็นหน้าที่หลักของยางชนิดนี้อยู่แล้ว การใช้งานบนถนนหลวงไม่ต้องพูดถึง เพราะเสียงรบกวนค่อนข้างดัง เนื่องด้วยดอกยางมีขนาดใหญ่ การบิดตัวของโครงสร้างจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดเสียงรบกวนเพิ่มขึ้นไปด้วย ส่วนเรื่องการยึดเกาะก็ยังเป็นรอง 2 รุ่นก่อนหน้า เพราะหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวค่อนข้างน้อย แถมยังทำให้ดอกยางสึกหรอเร็วกว่าการใช้งานบนสภาพเส้นทางที่ทุรกันดาร อีกทั้งไม่เหมาะสำหรับการใช้งานด้วยความเร็วสูงอีกด้วย

ยางสำหรับรถปิคอัพเพื่อการบรรทุก

นิยมใช้ในกลุ่มรถปิคอัพเพื่อการพาณิชย์ เพราะได้รับการออกแบบเพื่อใช้ในการขนส่งโดยเฉพาะ โครงสร้างยางออกแบบพิเศษให้ความแข็งแรง คงทน แก้มยางมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะได้เป็นอย่างดี แม้ขณะบรรทุกเต็มพิกัด รวมถึงมีความสึกหรอน้อยกว่าเมื่อเทียบกับยางขนาดเดียวกันทั่วไป แต่ผลิตสำหรับล้อขนาด 14-15 นิ้ว เท่านั้น

*พิเศษ ข้อมูลยางรถยนต์แต่ละยี่ห้อที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทย

หลังจากที่ทำความรู้จักยางรถยนต์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ตอนนี้เรามาเจาะลึกถึงข้อดีข้อเสีย จุดเด่นจุดด้อยของโปรดักค์ยางในแต่ละยี่ห้อ แต่ละแบรนด์ผู้ผลิตยางกันบ้าง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อยางของท่านให้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมข้อมูลยางรถยนต์เกือบทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ที่มีขายในท้องตลาดเมืองไทย โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามประเภทที่กล่าวมา คือ H/T, A/T, M/T และยางเพื่อการบรรทุก

H/T ยางสำหรับรถอเนกประสงค์ทั่วไป

BRIDGESTONE DUELER H/L 683 ออกแบบดอกยาง 5 ขนาดเพื่อการขับขี่ที่เงียบ บลอคดอกยางใหม่ เพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะและนุ่มนวล แต่แฝงไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง ร่องดอกยางวงกลมคล้ายรูกุญแจ เมื่อสึกไปจนถึงร่องดอก จะกลายเป็นดอกยางใหม่มารองรับ มั่นใจกับการเกาะถนน เบรคหยุดได้ดั่งใจ มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-65 และหน้ากว้างตั้งแต่ 235-275

BF GOODRICH RADIAL LONG TRAIL T/A TOUR ยาง HIGHWAY TERRAIN ที่มีเทคโนโลยีเข็มขัดใยเหล็ก ต้านทานการทิ่มตำ และเสริมหน้ายางให้แกร่งขึ้น ไหล่ยางเทคโนโลยี RIGID SHOULDER รับแรงกระทำจากภายนอกที่เกิดการเคลื่อนที่ได้หลายทิศทาง แข็งแรง มั่นคง ทรงตัวดีเยี่ยม และลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70 และหน้ากว้างมีขนาด 205, 245 และ 265

COOPER DISCOVERER H/T ยางสำหรับรถเอนกประสงค์ทั่วไป ออกแบบมาเพื่อการเที่ยว และเดินทางไกล หน้ายางมีร่องระบายน้ำ 4 ร่อง ทำให้รีดน้ำได้ดี ลายดอกยางออกแบบให้เรียบแบบอสมมาตร เด่นเรื่องการเกาะถนนได้ดี ในถนนแห้ง และเปียก นอกจากนี้ลายดอกยางยังช่วยลดเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-275

DEESTONE PAYAK 007 R601 H/T ยางสำหรับรถเอสยูวี และรถ 4x4 ทุกประเภท ลายดอกยาง ช่วยในเรื่องความนุ่มนวล ลดการเกิดเสียง ไหล่ยาง ช่วยเรื่องการยึดเกาะถนนทั้งทางตรง และการเข้าโค้ง และร่องยาง 4 ร่อง ช่วยรีดน้ำ ทำให้เพิ่มความมั่นใจในสภาวะถนนเปียก สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางได้อย่างรวดเร็ว มีขนาด 14-18 และ 20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-50 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 205-265

FALKEN S/TZ 04 มีคุณสมบัติพิเศษ ด้วยหน้ายางที่มีลักษณะแบบสมมาตร ทำให้มีความเป็นอิสระในการหมุนของยาง มีประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งบนหิมะ และลูกรัง และด้วยรูปแบบบลอคชนิด 2 ใน 3 ลดเสียงรบกวนจากยาง สึกหรอสม่ำเสมอทั้งหน้ายาง มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-40 และหน้ากว้างตั้งแต่ 235-305

FULLRUN F2000 เหมาะสำหรับรถเอสยูวี ที่ชอบความสวยงาม ออกแบบให้มีหน้ายางแบบอสมมาตร สำหรับการขับขี่ที่เน้นสมรรถนะ ดอกยางด้านนอกมีไหล่ยางที่สูงกว่า เพื่อสร้างแรงยึดเกาะ มีผิวดอกยาง 5 ลายที่แตกต่างกัน ช่วยในการเก็บเสียง สามารถควบคุมได้ดีทั้งบนถนนแห้ง และเปียก มีขนาด 18 นิ้วเท่านั้น และมีขนาดเดียว ได้แก่ 245/40 R18

GOODYEAR WRANGLER HP ALL WEATHER ยางรถเอสยูวี ซึ่งผสานความเงียบและการรีดน้ำที่ลงตัว ด้วยส่วนผสมสูตรพิเศษ SILICA COMPOUND ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในทางโค้งถนนเปียก ให้ระยะเบรคที่สั้นกว่า พร้อมเพิ่ม DUPONT KEVLAR ซึ่งมีความพิเศษของเส้นใย KEVLAR ที่ยืดหยุ่นสูง ดอกยางนุ่ม ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-265

HANKOOK DYNAPRO HL ออกแบบด้วยเทคโนโลยีพิเศษ เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล และสะดวกสบาย ป้องกันปัญหาเรื่องการอ่อนตัวที่ด้านข้างของยาง และลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ ช่วยให้การทรงตัวเพิ่มขึ้นขณะเข้าโค้ง ร่องยางแบบขั้นบันได ป้องกันเศษหินเกาะร่องยาง และเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-65 และหน้ากว้างตั้งแต่ 215-275

KUMHO KL12 ยางรถยนต์ระดับพรีเมียม รองรับความต้องการของรถเอสยูวี, กระบะ ดีไซจ์นมาเพื่อสมรรถนะที่สุดยอด สำหรับทุกฤดูกาล ดอกยางมีความสวยงาม ออกแบบเพื่อการขับขี่ที่ดีเยี่ยมทุกสภาพถนน ช่วยให้ผู้ขับควบคุมได้สบายในสภาวะถนนแห้ง และเปียก มีขนาด 18 และ 20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 60-45 และหน้ากว้างตั้งแต่ 255-275

MICHELIN LATITUDE TOUR HP ด้วยเทคโนโลยีโครงสร้าง SUPPLE YET RIGID แก้มยางที่ยืดหยุ่น ให้การซึมซับแรงสะเทือนเพื่อความนุ่มเงียบ การกระจายน้ำหนักบนหน้ายางสม่ำเสมอ ยางจึงสึกเรียบ ได้ระยะทางไกลขึ้น พร้อมสูตรเนื้อยาง TERRAIN PROOF ที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นดีเยี่ยม เข้าโค้งแม่นยำ เกาะถนนเยี่ยม มีขนาด 15-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-40 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-305

PIRELLI SCORPION STR ให้ความนุ่มนวล ด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างที่มีส่วนผสมของสารซิลิคา และยางธรรมชาติ ออกแบบด้วยร่องดอกยางที่เล็กและกระจายต่อเนื่อง ทำให้การสึกหรอเรียบสม่ำเสมอ รวมไปถึงดอกยางแบบอสมมาตร ช่วยเพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะได้ดี ทั้งในถนนแห้ง และเปียก มีขนาด 16-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-50 และหน้ากว้างตั้งแต่ 215-265 ROADSTONE ROADIAN HT (SUV) เหมาะสำหรับรถเอสยูวี โดยเฉพาะ ร่องดอกยางแบบ 4 แถว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำได้เป็นอย่างดี ลายดอกยางดีไซจ์นให้เรียบ ลดเสียงรบกวนขณะวิ่ง ทำให้นุ่ม เงียบ ตลอดการเดินทาง เพิ่มการบังคับควบคุมที่ดี สามารถใช้ได้บนถนนแห้ง และเปียก มีขนาด 15-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ขนาด 215-275

TOYO OPEN COUNTRY H/T มีส่วนผสมเฉพาะ ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานดอกยางให้มากขึ้น ไหล่ยางใหญ่ ช่วยลดเสียงขณะขับ และยึดเกาะถนนได้ดีขณะเข้าโค้ง ช่วยยืดอายุการใช้งาน มีเทคโนโลยี MULTI WAVE ช่วยให้มีความทนทานต่อการถูกบาดตำบริเวณไหล่ยาง ดอกยางใหญ่ เพิ่มความทนทาน ช่วยเกาะถนน มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-265

YOKOHAMA GEOLANDAR SUV เป็นยางที่เด่นเรื่องความนุ่มเงียบ เนื้อยางแบบ NANO BLEND ที่มีส่วนผสมของน้ำมันส้ม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน แข็งแกร่ง ทนทาน ใช้พลังงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดความต้านทานในการหมุน ช่วยยืดอายุการใช้งาน ร่องดอกยางเล็กในดอกยาง พร้อมทรงครีบโลมา ช่วยรีดน้ำออกรวดเร็ว เสริมสมรรถนะการยึดเกาะบนถนนเปียก มีขนาด 15-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-50 และหน้ากว้างตั้งแต่ขนาด 205-255

A/T ยางอเนกประสงค์สำหรับทุกสภาพถนน

BF GOODRICH RADIAL ALL TERRAIN โครงสร้างโพลีเอสเตอร์ (POLYESTER) หนา 3 ชั้น (TRIGARD) ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และลดความเสียหายที่เกิดจากการทิ่มตำ ทั้งบริเวณหน้ายาง รวมถึงแก้มยาง พร้อมเนื้อยาง 2 ชั้น ผสมสารพิเศษ (DUAL COMPOUND TREAD) เพื่อความทนทาน ร่องเล็กบนดอกยาง (SIPES) ช่วยลดเสียงขณะขับขี่ มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-65 และหน้ากว้างตั้งแต่ 225-275 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีเฉพาะกระทะล้อขนาด 15 นิ้ว กับความสูงตั้งแต่ 30-33 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 9.50-12.50 นิ้ว

BRIDGESTONE DUELER A/T 697 ร่องยางแบบ SEMI STEALTH เสริมความแกร่ง และความทนทานให้กับยาง ดอกบั้งบริเวณไหล่ยาง ถูกออกแบบให้มีระดับสูง/ต่ำต่างกัน ช่วยลดเสียงรบกวน และการสึกหรอของดอกยาง แก้มยางได้รับการเสริมความแข็งแรงที่กระทำต่อยาง ให้ยางมีความแข็งแกร่งทนต่อการบิดตัว การสึกหรอ และการถูกตำทะลุได้ดียิ่งขึ้น มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-65 และหน้ากว้างตั้งแต่ 215-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

COOPER ZEON LTZ ยางรุ่นนี้พัฒนามานาน 3 ปีเต็ม จากการทดสอบในพื้นที่ทุรกันดารของทวีปออสเตรเลีย ด้วยโครงสร้างยางสูตรพิเศษ ARMOR-TEK3 มีความแข็งแรงมากกว่าปกติ 15 % เพิ่มการยึดเกาะด้วยการออกแบบดอกยางรูปตัว Y มีส่วนผสมของสารซิลิคา เพิ่มการยึดเกาะถนนเปียก และแห้ง ได้ดี รับประกันถึง 80,000 กม. มีขนาด 16 นิ้ว ไปถึง 22 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-40 และหน้ากว้างตั้งแต่ 265-305

DEESTONE PAYAK R404 A/T หน้ายางแบบเสริมใยเหล็ก 2 ชั้น รัดด้วยเข็มขัดนิรภัย (SPIRAL OVERLAY) แบบไร้รอยต่อ ทำให้หน้ายางคงรูป และสามารถกระจายแรงกดหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ ลดอัตราการสึกหรอที่เกิดจากหน้ายางสัมผัสพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ ลายดอกยาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนในทุกพื้นผิว มีขนาด 15-17 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 215-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

DUNLOP GRANDTREK AT3 ใช้แนวคิดการออกแบบ DIGI-TYRE 4x4 ด้วยเทคโนโลยี DRS ll เหมาะสำหรับทุกสภาพพื้นถนน ดอกยางออกแบบพิเศษแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ช่วยให้แรงกดหน้าสัมผัส มีการกระจายแรงได้สม่ำเสมอ ให้ความคงทนต่อแรงกระแทกและการตัดเฉือน การยึดเกาะถนน ความสะดวกสบายในการขับขี่ มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 18 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-285 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

GOODYEAR WRANGLER AT/SA ด้วยเทคโนโลยี SILENT ARMOR ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของดอกยาง ประกอบด้วย ชั้นใย KEVLAR ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ร่องยางขนาดใหญ่ตรงกลาง เพิ่มการควบคุมและลดเสียงรบกวน ร่องยางขนาดเล็กบนหน้ายางเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน แก้มยางพิเศษ DURAWALL ทนทานต่อการรั่วซึมบริเวณแก้มยาง มีตั้งแต่ขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-65 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-265

HANKOOK DYNAPRO AT-M ออกแบบโดยใช้เทคโนโลยี CAMS (COMPUTER AIDED MEASUREMENT SYSTEM) ดอกยางปกป้องด้านข้างให้มีมุมคมดั่งฟันเสือ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดุดัน และมีการวางมุมดอกยางที่สมดุล ช่วยป้องกันแก้มยางฉีก และลดความเสียหายจากการกระแทกได้ดี แถมยังทำความสะอาดโคลนที่ติดตามร่องยางได้อีกด้วย มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 18 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-60 และหน้ากว้างตั้งแต่ 235-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

KUMHO KL63 ยางอเนกประสงค์สำหรับรถ 4x4 ทั่วไปที่ต้องการความมั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ ประกอบด้วยสารพิเศษชนิดใหม่ ช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างดีเยี่ยม และเกาะถนนได้ดีขึ้น ดอกยางกว้าง ช่วยเรื่องเสถียรภาพในการขับขี่ ร่องดอกยาง 2 ร่อง ช่วยเพิ่มความสามารถในการรีดน้ำ มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-55 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 225-315 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

MICHELIN LATITUDE CROSS ยางสำหรับรถเอสยูวี สมรรถนะแกร่ง สไตล์รถ 4x4 แต่ยังขับสบายสไตล์ยาง HIGHWAY TERRAIN ลายดอกยาง MUD CATCHER ให้สมรรถนะการลุยทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางโคลน ฝุ่น หรือพื้นหญ้า หน้ายางสูตรพิเศษ TERRAIN PROOF ที่มีความเหนียว ความยืดหยุ่นที่ดีเยี่ยม ทนต่อการบาดตำ และการเสียดสีได้ดี มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 80-65 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 205-275

PIRELLI SCORPION ATR ยางที่เหมาะกับทุกภูมิประเทศ แก้มยางถูกออกแบบให้เพิ่มความแข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างแบบใหม่ ช่วยเพิ่มความทนทานให้ยางบนพื้นผิวขรุขระ มีไหล่ยางที่กว้าง ช่วยให้ลายดอกยางสึกอย่างสม่ำเสมอ และยังเพิ่มการเบรคอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสลัดโคลน และหินได้ด้วยตัวเอง มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 18 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-50 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 235-275 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

ROADSTONE ROADIAN AT 2 เหมาะสำหรับรถปิคอัพ รถอเนกประสงค์ และรถ 4x4 ทั่วไปที่ชอบการท่องเที่ยวธรรมชาติแบบเบาๆ ดอกยางมีลักษณะพิเศษ สามารถใช้ได้ดีทั้งบนถนนปกติ และบนทางวิบาก มีร่องยางรีดน้ำ 4 แถว แบบซิกแซก ช่วยรีดน้ำออกจากยางได้ดี และรวดเร็ว ไหล่ยางแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี และทนทานสูง มีขนาด 15 นิ้ว ไปถึง 18 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-60 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 215-285 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 31x10.50 R15 และ 30x9.50 R15

SAILUN TERRAMAX AT ดอกยางถูกออกแบบให้สามารถใช้งานได้ทุกฤดู สันดอกยางกึ่งกลางที่แข็งแรง ช่วยเพิ่มการตอบสนองการควบคุมพวงมาลัยได้ดี บลอคดอกยางที่เปิดบริเวณไหล่ยาง เพิ่มสมรรถนะแรงฉุดมากยิ่งขึ้น การจัดเรียงระดับของบลอคบริเวณไหล่ยาง ช่วยลดเสียงรบกวน ยืดอายุการใช้งาน มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-65 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 215-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาดเดียว คือ 31x10.50 R15

TOYO TIRES OPEN COUNTRY A/T ดอกยางถูกออกแบบพิเศษ ให้มีความแข็งแกร่ง จากโครงสร้างยางแบบ SPIRAL CAPPLY & SINGLE STRAND BEAD WIRE ช่วยให้การทำงานของยางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้อัตราการสึกเรียบสม่ำเสมอ ลดอาการดึงซ้าย/ขวา ง่ายต่อการตั้งศูนย์ล้อ ขอบยางสามารถรักษาขอบกระทะจากการเสียดสีได้ มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 225-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.50 R15

YOKOHAMA GEOLANDAR A/T-S มาพร้อมเทคโนโลยี NANO BLEND ที่มีประสิทธิภาพและเป็นการรวมจุดเด่น 3 ประการ ได้แก่ ไมโครซิลิคา ที่เป็นวัตถุดิบคุณภาพที่ส่งผลในเรื่องการยึดเกาะถนน น้ำมันส้ม ที่เป็นสิทธิบัตรของ YOKOHAMA ช่วยในเรื่องการยึดเกาะ และโพลีเมอร์ผสม ช่วยลดความต้านทานการหมุน มีขนาด 14-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-45 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 175-305 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีเฉพาะกระทะล้อ 14-15 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 27-33 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 8.50-12.50 นิ้ว

M/T ยางสำหรับรถออฟโร้ด 4x4 ใช้งานนอกถนน

BF GOODRICH RADIAL MUD TERRAIN ยางที่สมบุกสมบันพร้อมทุกพื้นที่ มีเอกลักษณ์ที่ลายดอกยาง ดุดัน สมบูรณ์แบบ เนื้อยาง 2 ชั้น โดยชั้นนอกให้ความแข็งแรงและคงทน ป้องกันการฉีกขาด ชั้นในออกแบบให้ทนทานต่อความร้อน โครงสร้าง TRIGARD ลิขสิทธิ์เฉพาะ ด้วยโครงยางโพลีเอสเตอร์ 3 ชั้น ที่ทนแรงกระแทก และการทิ่มตำทั้งบริเวณหน้ายางและแก้มยาง เสริมแก้มยางให้แข็งแกร่ง และคงตัว ช่วยให้การขับขี่มีความแม่นยำ และมั่นคง มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-75 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 235-265 และ 285, 315, 345, 365 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 15-17 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 30-37 นิ้ว และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 9.5-12.5 นิ้ว

BRIDGESTONE DUELER M/T 673 ยางสำหรับรถ 4x4 สำหรับเส้นทางวิบากโดยเฉพาะ ใช้เทคโนโลยี O-BEAD ออกแบบให้โครงสร้างยางยึดเกาะกระชับกับกระทะล้อ ดอกยางถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ และมี RIM GUARD ขอบซึ่งมีขอบยางนูน ปกป้องโครงยางและกระทะล้อ มีร่องลึกพิเศษ ทำให้แรงกรุยทางสูง ไต่ทางลาดชันได้ดี ให้ประสิทธิภาพในการเบรคและเลี้ยวโค้ง ทั้งยังสลัดดินออกได้ง่าย พร้อมตะลุยได้อย่างมั่นใจ มีเฉพาะขนาด 15 นิ้ว 235/75 R15 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 32x11.50 R15 และ 33x12.50 R15

COOPER DISCOVERER STT เป็นยางสำหรับรถ 4x4 โดยเฉพาะ ดอกยางลึกและหนา ช่วยเพิ่มแรงตะกุยได้ดีเยี่ยม ไหล่ยางกว้าง และหนา ทำให้สามารถลุยโคลนได้ดี และทนต่อการฉีกขาดของไหล่ยาง จากการออกแบบลายดอกยางให้มีความโค้งมนแบบอสมมาตร ทำให้ช่วยสลัดหินออกจากร่องดอกยางได้ดี มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 235-315 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 15-20 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 31-37 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 9.50-12.50 นิ้ว

DEESTONE MUD CLAWER R405 M/T ออกแบบบลอคดอกยางตรงกลางให้มีขนาดใหญ่ เพื่อการบังคับควบคุมที่สมบูรณ์แบบ ไหล่ยางมีความแตกต่างกัน เพื่อความความแข็งแกร่ง รองรับการใช้งานในทุกสภาพถนน ร่องดอกยางรวมถึงลายดอกยางภายในร่องดอกที่มีขนาดเล็ก นอกจากช่วยลดเสียงรบกวน ยังช่วยสลัดหินและโคลนได้ดี มีขนาด 16-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 245, 265 และ 285 มม. ส่วนยางที่มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 15-17 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 31 และ 33 นิ้ว หน้ากว้างตั้งแต่ 10.50 และ 12.50 นิ้ว

DUNLOP MT2 เน้นการใช้งานในทางทุรกันดารอย่างสมบุกสมบัน MT2 จึงกำหนดดอกยางทั้งหน้ากว้าง (WIDE) สำหรับพื้นที่ทั่วไป กับรุ่นหน้าแคบ (NARROW) เพื่อการใช้งานในภูมิประเทศที่ถนนเข้าไปไม่ถึง โดยมาพร้อมแนวแก้มยางออกแบบพิเศษ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมขณะขับขี่ที่เหนือกว่า MT2 WIDE มีเฉพาะขนาด 16 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 225-285 และ MT2 NARROW มี 2 ขนาด คือ 235/85 R16 กับ 255/85 R16

HANKOOK DYNAPRO MT ยางสำหรับผู้รักการขับขี่รถ 4x4 ดอกยางช่วงกลางรูปตัววี ลักษณะภูเขาน้ำแข็ง ช่วยในการยึดเกาะที่ดีที่สุดในทุกสภาพถนน พร้อมปลายดอกยางแบบเรียว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ เข็มขัดรัดหน้ายางชั้นนอกเสริมไนลอน พร้อมความทนทาน และความปลอดภัย มีขนาด 15-17 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 215-315 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 15-20 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 28-38 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 8.50-15.50 นิ้ว

KUMHO KL-71 สุดยอดยางสัญชาติเกาหลี สำหรับทางโหด แต่ให้ความนุ่มเงียบขณะขับขี่ ให้กำลังที่ดีในทางชัน แม้พื้นดินเปียก ลื่น รวมถึงทราย ด้วยดอกยางที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้ระยะเบรคในทางพื้นกรวด ทางหิน หรือแม้แต่บนถนนดำ ก็สามารถขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีขนาด 16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 245, 265, 285 และ 305 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 15-24 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 31-38 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 10.50-14.00 นิ้ว

MAXXIS MT-764 ไหล่ยางออกแบบให้เป็นตัว "G" พร้อมปุ่มรูปสามเหลี่ยมบริเวณแก้มยางที่เพิ่มความแข็งแกร่ง ช่วยควบคุมรถได้ดีทุกสภาพพื้นผิว เนื้อยางออกแบบพิเศษ เพื่อใช้ในทางโคลนและหิน พร้อมเพิ่มหน้าสัมผัสเพื่อการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น แถบนูนในร่องไหล่ยางออกแบบพิเศษ ช่วยสลัดโคลน มีขนาด 15-20 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-50 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-305 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาด 14-17 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 27-35 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 8.50-12.50 นิ้ว

ROADSTONE ROADIAN MT ร่องดอกยางขนาดใหญ่ออกแบบเส้นซิกแซก ช่วยเพิ่มสมรรถนะการตะกุยหิน ดิน ทรายต่างๆ พร้อมออกแบบให้เป็นร่องลึก ช่วยให้มีแรงปีนไต่ทั้งในโคลนลึก หินกรวด และสามารถรีดน้ำได้ดีบนถนนปกติอีกด้วย ในขณะที่เนื้อยางมีความทนทานต่อการสึกหรอ ให้การควบคุมที่ดีบนถนนแห้ง และเปียก มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-75 และหน้ากว้างตั้งแต่ 235-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มี 2 ขนาด คือ 30x9.50 R15 และ 31x10.5 R15

SONAR S-830 ยางที่สามารถรองรับการใช้งานในทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นถนนแห้ง หรือเปียก ร่องยางถูกออกแบบให้มีรอยหยักในทุกทิศทาง เพื่อเพิ่มแรงฉุดในผิวทางทุรกันดาร ให้สามารถตะกุยฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ร่องดอกยางขนาดใหญ่ สามารถรีดน้ำได้ดี ให้การบังคับควบคุมที่ไว้ใจได้ มีขนาด 15-16 นิ้ว แก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 80-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ขนาด 205-265 ส่วนยางที่หน่วยวัดเป็นนิ้ว มีขนาดเดียว คือ 31x10.50 R15

SUPER SWAMPER TSL BOGGER ยางที่ถูกออกแบบเพื่อการแข่งขันและลุยหนักโดยเฉพาะ ด้วยดอกยางลายบั้งที่โดดเด่นในการลุยโคลนและปีนหน้าผาหิน รวมถึงลุยพื้นทราย เนื้อยางให้ความยืดหยุ่นสูง และมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ คงทนต่อการฉีกขาดจากการบาดของหินแหลม และกิ่งไม้ การใช้งานบนถนนปกติยังให้การยึดเกาะที่ดีอีกด้วย มีขนาด 15-17 นิ้ว ความสูงตั้งแต่ 33-44 นิ้ว และหน้ากว้างตั้งแต่ 10.50-19.50 นิ้ว

YOKOHAMA GEOLANDAR M/T ร่องยางคู่ ช่วยเพิ่มการยึดเกาะ และการทรงตัวที่ดีในทางทุรกันดาร และยังมีเทคโนโลยี PROGRESSIVE POWERFUL SHOULDER เพื่อไหล่ยางทนทาน และแข็งแกร่ง และเทคโนโลยี DUAL PROTECT BARS ดอกยางพิเศษช่วยให้โคลนหลุดออกได้ง่าย แถบยางคู่ ช่วยป้องกันการทิ่มตำจากของมีคม ขณะวิ่งบนทางทุรกันดาร เนื้อยางสูตรพิเศษ ทนทานต่อการขับขี่ มีขนาด 16 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 85-75 และหน้ายางกว้างตั้งแต่ 235-285

ยางสำหรับรถเพื่อการบรรทุก

COOPER DISCOVERER CTS ยางสมรรถนะสูง สำหรับรถอเนกประสงค์ทั่วไป ที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้งาน จากการออกแบบลายดอกยางที่เรียบง่าย แต่แฝงไว้ซึ่งความโฉบเฉี่ยว และช่องระบายน้ำจำนวน 4 ร่อง จึงทำให้การรีดน้ำเป็นไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยลดเสียงที่เกิดขึ้นกับยาง จึงนุ่มเงียบตลอดการเดินทาง มีขนาด 16-20 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-55 และหน้ากว้างมีตั้งแต่ 215-275

DEESTONE KACHA R101 หน้ายางเสริมใยเหล็ก 2 ชั้น ช่วยให้แข็งแรง ทนทาน รัดด้วยเข็มขัดนิรภัย (SPIRAL OVERLAY) แบบไร้รอยต่อ สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ดี ดอกยางแบบ 4 แถว หน้ายางกว้างเรียบแนบสัมผัส ช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น แก้มยางแบบ RIM GUARD ช่วยป้องกันความเสียหายของกระทะล้อ เหมาะสำหรับรถปิคอัพทั่วไป ที่ต้องการสมรรถนะสูงสุด มีขนาด 13-15 นิ้ว แก้มยางมีเฉพาะซีรีส์ 82 ส่วนหน้ากว้างตั้งแต่ 165-205 DUNLOP VANTREK V1 ยางสำหรับรถปิคอัพ ที่เน้นสมรรถนะควบคู่ไปกับความแข็งแกร่ง ออกแบบเพื่อต้านทานการสึกหรอ และเพิ่มบริเวณการยึดเกาะถนนมากขึ้น บลอคดอกยางออกแบบเพื่อการฉุดลากบนทางทุรกันดาร และลาดชัน ร่องดอกยางกว้าง ออกแบบเพื่อให้รีดน้ำออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีขนาด 14-15 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 195-215 FALKEN LINAM R51 ผลิตขึ้นในประเทศไทย เหมาะสำหรับรถปิคอัพ และรถแวน ด้วยคุณลักษณะของร่องยางแบบ 6 ร่อง สามารถรีดน้ำได้ดี และรวดเร็ว มีความทนทานต่อการสึกหรอได้ดี ให้ประสิทธิภาพการทนทานในสภาพถนนที่น้ำเจิงนอง หรือถนนแห้ง มีขนาด 15-16 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 75-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 205-215

MICHELIN XCD ยางสำหรับรถบรรทุกหนักเชิงพาณิชย์ โครงสร้างใยเหล็กกล้า ความแข็งแรงสูง ที่มีขนาดใหญ่และกว้างเป็นพิเศษ พร้อมด้วยชั้นใยสังเคราะห์ ความแข็งแรงสูงรัดหน้ายางจรดไหล่ยาง ถึง 2 ชั้น ให้ความแข็งแกร่งทั้งหน้ายางและไหล่ยาง รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เต็มกำลัง ให้ความแข็งแกร่ง และทนทานต่อการสึกหรอได้ดี มีขนาด 14-15 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 82-70 และหน้ากว้างตั้งแต่ 195-215

TOYO TIRES TRANPATH MP4 ดอกยางแบบอสมมาตร ลดเสียงรบกวน ยึดเกาะถนนได้ดีขณะเข้าโค้ง NEW TRIPLE TREAD STRUCTURE ลิขสิทธิ์เฉพาะ ทำหน้าที่กระจายโมเลกุลเนื้อยางด้านนอก เพื่อลดแรงเสียดทานกับพื้นถนน ให้การสึกหรอน้อยลง นุ่มนวลขึ้น ร่องดอกยางออกแบบด้วยเทคโนโลยี 3D MULTISIPS ระบายน้ำบนถนนเปียกได้ดี และช่วยลดอัตราการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ มีขนาด 14-16 นิ้ว ส่วนแก้มยางมีตั้งแต่ซีรีส์ 70-50 และหน้ากว้างตั้งแต่ 155-215

ยางหล่อดอก
ยางหล่อดอก คือ ยางที่ผ่านการใช้งานจนหน้ายางสึกหมด แล้วนำไปหล่อส่วนหน้ายาง และดอกยางใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการหล่อและอบด้วยความร้อน เพื่อให้ยางเก่าและยางใหม่ ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน และ วิธีการหล่อเย็น โดยใช้เครื่องขูดยางเพื่อเจียนผิวหน้ายางให้เรียบเสมอกัน ด้วยระบบน้ำหล่อเย็น แล้วจึงนำมาซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด ซึ่งจะจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่ง แต่การยึดติดของเนื้อยางส่วนที่หล่อใหม่ กับเนื้อยางเดิมนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดการหลุดล่อนของส่วนหน้ายางได้เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนของโครงสร้างยางที่ผ่านการใช้งานมาแล้วจะไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการระเบิดได้ง่ายเมื่อรับน้ำหนักบรรทุกแบบเต็มพิกัด ดังนั้นยางหล่อดอกจึงไม่ปลอดภัยที่จะนำมาวิ่งบนถนนหลวง และผู้ใช้รถใช้ถนนควรหลีกเลี่ยง และไม่อยู่ใกล้กับรถที่ใช้ยางประเภทนี้ หากจัดจำหน่ายโดยโรงงานที่มีมาตรฐาน อย่างน้อยก็ยังได้ตรวจสอบคุณภาพก่อนที่จะมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภค แต่ความปลอดภัยก็ยังสู้ยางใหม่ไม่ได้อยู่ดี

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ apexsport.com , bridgestone.co.th , bfgoodrich-thai.com , deestone.com , dunloptire.co.th , fullruntyre.com , goodyear.co.th , hankooktire.co.th , highertyre.co.th , maxxis.com , michelin.co.th , rosdstonethailand.com , sonartyres.com , stamfordtyrethailand.com , toyotire.in.th , vvp4x4.com , weekendhobby.com/4wparts , yokohamathailand.com

ขอขอบคุณข้อมูลสำหรับบทความนี้จาก http://www.thairv.com/board/index.php?topic=4918.0
ตัวเลข Treadwear และตัวอักษร Traction,Temperature บนแก้มยางคืออะไร?

ตัวเลข Treadwear และตัวอักษร Traction,Temperature บนแก้มยางคืออะไร?


ความนุ่มนวล การสึกหรอของดอกยางรถยนต์ แต่ละยี่ห้อ ทำไม?แตกต่างกัน ยางรถยนต์บางเส้นใช้งานไม่กี่พันKm ดอกยางสึกไปตั้งเยอะ ยางรถยนต์บางเส้นใช้งานหลายหมื่นKm ดอกยางสึกไปหน่อยเดียว Treadwear คือ คำตอบ ครับ ค่า Treadwear, Traction, Temperature ของยางรถยนต์ เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจเลือกซื้อยางรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งโครงการ UTQG (Uniform Tire Quality Grading) เพื่อจัดอันดับคุณภาพยางรถยนต์ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในการซื้อยางรถยนต์ของพวกเขา

โดยทั่วไปนั้นจะใช้เครื่องมือนอกเหนือจากที่รวบรวมความคิดเห็นจากเพื่อน, ช่าง และผู้จำหน่ายยาง สิ่งสำคัญในการใช้ระบบนี้คือระบบการเปรียบเทียบความเกี่ยวข้องกันกับการใช้งานจริง ผู้ผลิตใช้สามเกณฑ์ในการแบ่งระดับ: treadwear, traction และ temperature ข้อมูลที่ถูกต้องเมื่อคุณต้องการซื้อยาง บนฉลากกระดาษที่ติดอยู่บนหน้ายาง หรือ อักษรรหัสบนแก้มยางรถยนต์ (sidewall) 



Treadwear
เป็นอันดับเปรียบเทียบตามการสึกหรอของยางรถยนต์ เมื่อการทดสอบภายใต้เงื่อนไขควบคุมรอบคอบ เช่น อันดับ 400 ควรใช้งานได้นานกว่ายางรถยนต์อันดับ 200 แต่ต้องแลกมาด้วยเนื้อยางที่แข็งกระด้างและการเกาะถนนที่น้อยลง ประสิทธิภาพ treadwear จริงอาจจะแตกต่างกันอย่างมากมายตามการใช้งานจริง ขึ้นอยู่กับรูปแบบนิสัยการขับขี่, การดูแลรักษา (แรงดันลมยาง), สภาพถนน และอากาศที่มีผลต่ออายุของยางรถยนต์ อันดับตัวเลขที่น้อย ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการเกาะถนนเสมอไป ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการออกแบบดอกยางรถยนต์ โครงสร้างหน้ายางรถยนต์ แก้มยางรถยนต์ รวมทั้งส่วนผสมของเนื้อยางรถยนต์
Traction
เป็นอันดับความสามารถในการหยุดบนทางเปียก วัดภายใต้เงื่อนไขการควบคุมบนพื้นยางมะตอย และการทดสอบบนพื้นผิวคอนกรีต ณ ปี 1997 ระดับ traction จาก สูงสุด ไป ต่ำสุดที่ "AA", "A", "B" และ "C" ยางรถยนต์ที่จัดอันดับ "AA" อาจมีสมรรถนะดีในการเกาะถนนกว่ายางรถยนต์จัดอันดับที่ต่ำกว่า ทดสอบเบรค หน้า-ตรง ไม่พิจารณาระดับประสิทธิภาพในขณะเลี้ยวของยาง



Temperature
เป็นอันดับแสดงความต้านทานของยางรถยนต์ต่อความร้อนและความสามารถในการกระจายความร้อน ทดสอบภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมในห้องปฏิบัติการการ ระดับจากสูงสุดไปต่ำสุดเป็น "A", "B" และ "C" เกรด "C" หมายถึงประสิทธิภาพต่ำสุดตามมาตรฐานความปลอดภัยสหพันธรัฐ ดังนั้นยางรถยนต์ "A" คือ ใช้งานได้ในขณะเย็นและแม้ว่ายางรถยนต์ "C" วิ่งในขณะที่ร้อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปลอดภัยระดับอุณหภูมิจะจัดตั้งขึ้นสำหรับยางรถยนต์ที่พอเหมาะสมและไม่มากไป



-TREADWEAR = ค่าการสึกหรอของยางรถยนต์
ตัวเลขน้อย - สึกหรอสูง - อายุสั้น - เกาะถนน
ตัวเลขมาก - สึกหรอน้อย - อายุยาว - เกาะถนนน้อยกว่า

-TRACTION = ความสามารถในการหยุดบนถนนลาดยางหรือคอนกรีต(ไม่เกี่ยวกับการยึดเกาะถนนในโค้ง)
ค่าดีที่สุด AA,A,B และ C น้อยสุด

-TEMPERATURE = ค่าความทนทาน การถ่ายเทความร้อนของยางรถยนต์
ค่ามากสุด A,B และ C น้อยสุด

รุ่นยาง - Treadwear, Traction, Temperature

Achilles
123 - 220

BF Goodrich
g-Force R1 - 40, B, A
g-Force T/A Drag Radial - 0, B, C
g-Force T/A Drag Radial 2 - 0, B, C
g-Force T/A KD - 200, AA, A
g-Force T/A KD SSS - 200, AA, A
g-Force T/A KDW - 300, AA, A
g-Force T/A KDW 2 - 300, AA, A
g-Force Sport - 340, AA, A

Bridgestone
Potenza RE010 - 120, A, A
Potenza RE011 - 140, A, A
Potenza RE030 - 140, A, A
Potenza RE040 - 140, A, A
Potenza RE050 - 140, A, A
Potenza RE070 - 140, A, A
Potenza S-02 - 140, A, A
Expedia S-01 - 140, A, A
RE71 Denloc - 140, A, A
RE-11 - 180, A, A
RE-11A - 200, A, A
RE-01R - 180, A, A
RE-001 Adrenalin - 220, A, A
Potenza RE050A Pole Position - 280

Continental
ContiSportContact 2 - 280, AA, A
ContiSportContact 3 - 280, AA, A

Dunlop
Direzza Sport Z1 Star Spec - 200, A, A
Direzza ZII - 200, A, A
Direzza ZII Star Spec - 200, A, A
Sport Maxx Race - 80, AA, A
SP Sport 8000 - 200, A, A
SP Sport 2000E - 200, A, A
SP Sport Maxx - 240, AA, A
SP Sport Maxx TT - 240, AA, A
SP Sport 9000 - 280, A, A
SP Sport 01 - 280, A, A
Direzza DZ101 - 300, AA, A
Direzza DZ102 - 460, AA, A

Falken
Azenis RT-615 - 200

Federal
595 RS-R - 140, AA, A
595 - 240

Goodyear
Eagle ZR - 220
Eagle F1 Asymmetric - 240, AA, A
Eagle NCT5 EMT - 240
Eagle F1 GS-D3 - 280, A, A

Hankook
Ventus R-S2 - 200
Ventus R-S3 (Z222) - 140, A, A
Ventus S1 evo - 280, AA, A
Ventus V12 Evo K110 - 280, AA, A

Hoosier
A6 - 40, C, A
R6 - 40, C, A
Radial Wet - 40, C, A

Kumho
Ecsta XS (KU36) - 180, AA, A
Ecsta MX - 220, AA, A
Ecsta LE Sport - 280, AA, A
Ecsta SPT (KU31) - 320, AA, A
Ecsta V700 - 50, AA, A
Ecsta V710 - 30, C, A
Ecsta W710 - 30, A, A
VictoRacer V700 - 50, A, A

Michelin
Pilot Sport - 220, AA, A
Pilot Sport Cup - 80, AA, A
Pilot Sport PS2 - 220, AA, A
Pilot Sport 3 - 320, AA, A
Pilot Exalto PE2 - 240, A, A
Primacy - 240, A, A

Nitto
NT01 - 100, AA, A
NT05 - 200, AA, A
NT05R (Drag Radial) - 00, B, B
NT420S (H Speed-Rated) 460, A, A
NT420S (V and W Speed-Rated) 420, A, A
NT420S (Y Speed-Rated) 280, A, A
NT450 300, A, A
NT555R - 100, A, A
NT555 - 300, A, A
Neogen - 280, A, A
Invo - 260, AA, A

Pirelli
Eufori@ - 180, A, A
PZero - 220, AA, A
PZero Rosso - 220, AA, A
PZero Corsa - 60, AA, A

Silverstone
FTZ Sport EVOI VIII - 280

Toyo
Proxes RA-1 - 100, AA, A
Proxes 888 - 100, AA, A
Proxes T1R - 280, AA, A
Proxes TQ (Drag Radial) - 0, B, B

Yokohama
ADVAN A048 - 60, A, A
ADVAN A046 - 160, A, A
ADVAN Neova AD07 - 180, AA, A
ADVAN Neova AD08 - 180, AA, A
ADVAN Neova AD08 R - 180, AA, A
ADVAN Sport - 180, AA, A
ADVAN Sport (Y Speed-Rated) 280, AA, A
ADVAN Sport V105 - 240, A, A
ADVAN Sport ZPS (Zero Pressure System, run-flat tire) - 180, AA, A
ADVAN S.T. - 320, AA, A
AVS ES100 - 280, AA, A
AVS Sport - 220, AA, A
S.drive - 300, AA, A

หมายเหตุ: ยางบางรุ่น ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก racingweb.net , tyre4car.com
วิธีการวัดขนาดกะทะล้อ และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องการเปลี่ยนกะทะล้อรถบรรทุก

วิธีการวัดขนาดกะทะล้อ และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องการเปลี่ยนกะทะล้อรถบรรทุก

หากคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนกะทะล้อให้กับรถบรรทุก เนื่องจากกะทะล้อเดิมชำรุดเสียหาย เสื่อมสภาพ เก่าเกินใช้งาน สำหรับท่านที่ใช้งานรถมานาน หาสมุดคู่มือไม่เจอ หรือทำหาย เกิดปัญหาไม่ทราบขนาดกะทะล้อของรถบรรทุกที่ใช้งานอยู่ วันนี้เรามีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการวัดขนาดกะทะล้อรถของท่านในจุดต่างๆ เพื่อใช้ในการเลือกเปลี่ยนกะทะล้อลูกใหม่

โดยทั่วไปแล้วกะทะล้อรถบรรทุกจะประกอบด้วยส่วนประกอบที่ต้องคำนึงถึงดังนี้
1. ขนาดกะทะล้อ วัดได้จากเส้นผ่าศูนย์กลางจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง
2. จำนวนรูน๊อตของกะทะล้อรถบรรทุก ซึ่งมีตั้งแต่ 4-6 รูน๊อต 8 รูน๊อต และ 10 รูน๊อต
3. ประเภทรูน๊อต กะทะล้อรถบรรทุกทั่วไป จะมีขนาดรูน๊อต 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ สำหรับน๊อตยึด 26ISO , 27SR18 , 27SR19 , 32SR22 เป็นต้น

4. แกนรูด้านใน ดุมล้อรถบรรทุกแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น แต่ละขนาด มีขนาดดุมล้อแตกต่างกันออกไป เราจึงใช้กะทะล้อที่มีขนาดแกนรูด้านในให้ตรงกับดุมล้อรถบรรทุกของเรา

5. แกนรูด้านนอก หรือระยะ P.C.D ซึ่งจะกล่าวในลำดับต่อไป
6. หน้าแปลนกะทะล้อ
7. เตเปอร์ ซึ่งกะทะล้อรถบรรทุกมีทั้งแบบที่ไม่มีเตเปอร์ และแบบมีเตเปอร์ จะกล่าวในลำดับต่อไป

* ขนาดของรูน๊อตและแกนรูด้านใน ดูวิธีการวัดได้จากตัวอย่างการวัดระยะ P.C.D สำหรับล้อ5 รูน๊อต และ 10 รูน๊อต

(P.C.D) ระยะ พี.ซี.ดี
P.C.D. ย่อมาจาก PITCH CIRCLE DIAMETER หมายถึง ระยะห่างของรูน๊อตบนตัว ล้อแม็กซ์ โดยวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย
แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูน๊อต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูน๊อตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง
รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5-6 รูน๊อต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ  หลายท่านสงสัยว่าทำไมรูน๊อตที่ใช้ยึดล้อแม็กเข้ากับดุมล้อ ถึงได้มีค่า PCD แตกต่างกันออกไป ในอดีตผู้ผลิตรถยนต์ หลายค่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป และอเมริกา ได้ทำการคิดค้นและออกแบบรถของตัวเองแตกต่างกันออกไป ตามแนวคิดของแต่ละค่าย แต่ละยี่ห้อ ซึ่งสันนิษฐานว่าในอดีตใช้หน่วยวัดเป็นนิ้ว แต่ต่อมาในบางประเทศที่ใช้มาตรฐานระบบเมตริกเป็นหลัก จึงได้ออกแบบขนาดกะทะล้อที่มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรขึ้นมา จึงมีการเรียกแตกต่างกันไป แต่จริงแล้วค่าของ PCD มีที่มาจากที่เดียวกันนั่นเอง

การวัดระยะ PCD ด้วยตนเอง หากเราต้องการทราบว่าล้อแม็กของเรานั้นมีระยะ PCD เท่าไร?
เราสามารถวัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้


สำหรับล้อ 4 รูน๊อต และ 8 รูน๊อต
การวัดสามารถวัดโดยวัดที่หน้าแปลนของดุมล้อด้านหลัง โดยทาบไม้บรรทัดจากจุด (A) ไปถึงจุด (B) ดูระยะว่ามีค่าเท่าไหร่? เช่น อ่านค่าได้เท่ากับ 100 มม. นั่นก็คือระยะ PCD ของ ล้อแม็กวงนั้นนั่นเอง



สำหรับล้อ 5 รูน๊อต และ 10 รูน๊อต

การวัดสำหรับล้อแม็กที่มี 5 รู หรือ 10 รูนั้น ต้องมีการคำนวนเล็กน้อย จากรูปเป็นตัวอย่างแสดงตำแหน่งจุดต่างๆที่เราต้องทำการวัดค่า

(A) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูดุมล้อ Center Bore
(B) คือระยะระจากขอบรู ดุมล้อ กับขอบรูยึดน๊อต
(C) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูยึดน๊อต

ได้สูตรการคิดค่าระยะ PCD = (A หาร 2)+B+(C หาร 2)

ตัวอย่าง
A = 110, B = 58.5 และ C = 13
( 55 ) + (58.5) + ( 6.5 )
รวมแล้ว = 120 ดังนั้นตัวเลขที่ได้ก็คือ ค่า PCD นั่นเอง

* หรืออาจใช้สูตร A+(2B)+C แทนก็ได้

สำหรับล้อ 6 รูน๊อต
การวัดสำหรับล้อแม็ก 6 รู จะคล้ายกับ 4 รู โดยวัดในแนวเส้นตรงจากขอบด้านในของรูยึดน๊อต ตรงมายังขอบด้านนอกของรูยึดน๊อตฝังตรงข้าม ผ่านรูดุมล้อ ทำการวัดจากจุด (A) มายังจุด (B) อ่านค่าได้เท่าไร ก็คือ ค่า PCD นั้นเอง

รู PCD
- ล้อใหม่ที่เราจะเลือกใช้ ต้องตรงกับสเปคของรถนั้นๆ ไม่ควรดัดแปลงค่าใดๆ ทั้งสิ้น เพียงเพราะความชอบส่วนตัว หรือความสวยงามของล้อแม็ก

รูกลางของดุมล้อ (Hub Diameter)
- รูกลางของล้อแม็กที่เราจะนำมาใช้ต้องพอดีกันไม่คับหรือหลวมจนเกินไป

การรับน้ำหนัก
- เราต้องเลือกล้อแม็กซึ่งมีความสอดคล้องเหมาะสมกับการใช้งานหรือการบรรทุกน้ำหนัก

การยึดล้อกับดุมล้อ
- ล้อที่เราจะเลือกใช้ รูที่ใช้ยึดเข้ากับตัวหน้าแปลนดุมล้อ ต้องมีสเปคตรงกัน ในแต่ละประเภทที่ได้ถูกออกแบบไว้

ความสัมพันธ์ต่อชิ้นส่วนอื่น
- การเลือกล้อแม็กต้องไม่ไปกระทบหรือมีระยะห่างที่จะไปกระทบกับชิ้นส่วนอื่นๆ เช่น โช๊ค , ขอบซุ้มล้อ , ปีกนก เป็นต้น


น๊อต และ สกรู (Nuts/Bolt)
ในปัจจุบันผู้ใช้รถส่วนใหญ่ มักไม่ทราบว่ารถของเราเองนั้น ควรใส่น๊อตล้อประเภทไหนอยู่? ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ความถูกต้อง เหมาะสม ของอุปกรณ์ ที่จะทำให้รถที่เราวิ่งอยู่มีความปลอดภัยมากขึ้น
บางครั้งตัวน๊อตเดิมก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้กับล้อใหม่นั้นได้ ทั้งนี้ต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ความแข็งแรงในการยึดติดระหว่างล้อกับดุมของรถลดลง ,
ซึ่งก่อให้เกิดอันตราย หรือเกิดความเสียหายต่อรถของเราได้

ประเภทของ น๊อตล้อ Lug Nuts
1) ชนิด เฉียง (Taper)
ลักษณะของน๊อต (Nuts) หรือ Bolts ถูกออกแบบมากให้มีมุมเฉียงที่ 60 องศา ซึ่งหากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะเฉียง เราก็ต้องใช้น็อตล้อให้เป็นแบบเฉียงเช่นเดียวกัน

2) ชนิด กลม (Radius,Ball)
ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Bolts ซึ่งถูกออกแบบมาให้จุดนั่ง มีลักษณะเป็นทรงกลม ซึ่งหากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะกลม เราก็ต้องใช้น็อตล้อให้เป็นแบบทรงกลมเช่นเดียวกัน

3) ชนิดราบ (Flat)
ชนิดนี้ ทั้งน๊อต (Nuts) หรือ (Bolts) จะถูกออกแบบมาให้จุดนั่ง มีลักษณะแบบราบ และอาจมีวงแหวนประกอบติดอยู่ด้วย เช่นเดียวกันหากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะแบบราบ เราก็ต้องใช้น็อตล้อให้เป็นแบนราบเช่นเดียวกัน


 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.asnbroker.co.th
ส่วนประกอบและข้อดี ข้อเสียของกะทะล้อแต่ละชนิด

ส่วนประกอบและข้อดี ข้อเสียของกะทะล้อแต่ละชนิด

กะทะล้อ (Rims)
กะทะล้อเป็นส่วนที่ยึดยางรถยนต์กับดุมล้อ กะทะล้อประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ ขอบกะทะล้อ และจานกะทะล้อ โดยขอบกะทะล้อ เป็นส่วนที่ยึดยางรถยนต์กับจานกะทะล้อและยังทำหน้าที่ในการรักษารูปทรงของยางรถยนต์ ส่วนจานกะทะล้อทำหน้าที่ในการยึดของกะทะล้อให้ติดกับดุมล้อ จานกะทะล้อจะมีรูสำหรับยึดน็อตกับดุมล้อเพื่อความสะดวกในการถอด-ใส่ล้อรถยนต์กับดุมล้อของรถยนต์

กะทะล้อแบ่งตามรูปแบบการสร้าง แบ่งได้ 3 แบบ คือ

1. แบบกะทะล้อเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป

2. แบบกะทะล้อซี่ลวด

3. กะทะล้อโลหะผสม หรือล้อแม็ก



  แสดงส่วนประกอบของกะทะล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป

กะทะล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป 
เป็นกะทะล้อที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความแข็งแรงและสามารถต้านทานต่อการเกิดอุบัติเหตุที่มีแรงกระทำต่อล้อได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกะทะล้อแบบนี้สามารถผลิตได้ง่ายคราวละมากๆ โครงสร้างของกะทะล้อชนิดนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ขอบกะทะล้อ และจานกะทะล้อ โดยขอบกะทะล้อ จะมีลักษณะต่ำตรงกลาง หรือเว้าตรงกลาง วัตถุประสงค์เพื่อให้ง่ายต่อการถอด-ใส่ยางรถยนต์ และด้านข้างของขอบกะทะล้อจะมีลักษณะเป็นสันนูนยกขึ้น เพื่อป้องกันการเลื่อนไถล หรือป้องกันการหลุดของยาง เมื่อยางมีลมอ่อน และเป็นการช่วยป้องกันการรั่วซึมของลม ส่วนจานกะทะล้อหรือสไปเดอร์ ตรงกลางของจานกะทะล้อจะมีรู เพื่อใส่กับดุมล้อ รอบๆ รูใส่ดุมล้อจะมีรูไว้สำหรับร้อยน็อตยึดระหว่างกะทะล้อกับดุมล้อ โดยทั่วไปรูเจาะร้อยน็อตจะมีตั้งแต่ 4-6 รูแล้วแต่ชนิดของดุม ขอบกะทะล้อ และจานล้อจะใช้หมุดหรือวิธีการเชื่อมติด เพื่อยึดทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน กะทะล้อที่ดี จะต้องไม่เบี้ยวหรือเแกว่งเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับตัวล้อขณะที่รถแล่น


 ลักษณะ รูปร่าง และส่วนประกอบของกะทะล้อแบบซี่

กะทะล้อซี่ลวด (Wire Spokes Wheel) 
กะทะล้อแบบนี้นิยมใช้กับรถแข่ง รถสปอร์ต หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นกะทะล้อที่มีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรงสูงมาก สามารถถอดเปลี่ยนล้อได้อย่างรวดเร็ว มีเกลียวล็อกล้ออยู่ตรงกลางอันเดียว รูปแบบของล้อแบบซี่ กะทะล้อแบบซี่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของขอบล้อ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขอบกะทะล้อของกะทะล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป ส่วนที่สอง คือ ซี่ลวด ซึ่งใช้แทนจานกะทะล้อในล้อแบบเหล็กกล้า ซี่ลวดทำด้วยเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงใช้วิธีการยึดแบบไขว้ไปมา โดยทั่วไปซี่ลวดจะรับแรงดึงได้มากกว่าแรงกด ความแข็งแรงของกะทะล้อแบบซี่ลวด ขึ้นอยู่กับขอบกะทะล้อ และการร้อยซี่ลวดระหว่างปลอกสวมดุมล้อ และขอบกะทะล้อ


แสดงรูปร่าง และส่วนประกอบของกะทะล้อแบบแม็ก หรือแบบโลหะผสมเบา

กะทะล้อโลหะเบาผสม (Cast Light alloy Wheel) หรือล้อแม็ก (Mag) 
กะทะล้อแบบนี้ผลิตโดยการหล่อ โดยใช้โลหะเบาผสมกัน คืออะลูมิเนียม กับแม็กนีเซียม ซึ่งทำให้กะทะล้อแบบนี้ มีน้ำหนักเบา และแข็งแรงกว่ากะทะล้อแบบเหล็กกล้า ปัจจุบันมีความนิยมใช้ล้อแม็กกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากขึ้น

เนื่องจากกะทะล้อแบบนี้มีข้อดีกว่ากะทะล้อแบบอื่นๆ ดังนี้

1. มีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับกะทะล้อแบบเหล็กกล้า เนื่องจากการหล่อผสมรวมของ อะลูมิเนียม กับแม็กนีเซียม
2. มีความแข็งแรง จากที่กล่าวมาแล้ว โลหะผสมที่หล่อรวมกันทำให้ล้อมีน้ำหนักเบา ส่งผลให้ล้อแบบนี้มีหน้าตัดที่หนากว่ากะทะล้อแบบเหล็กกล้า จึงทำให้กะทะล้อแบบแม็กแข็งแรงกว่าล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป
3. ล้อแม็กสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน อันเนื่องจากล้อแม็กมีพื้นที่ของล้อมาก และหน้ากงล้อกว้าง ทำให้สามารถใส่ยางหน้ากว้างได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับถนนมากขึ้น ส่งผลทำให้รถช่วยเกาะถนนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่รถเข้าโค้ง
4. การระบายความร้อนของล้อได้ดี เมื่อรถมีการเบรก หรือการเลี้ยวโค้งทำให้เกิดความร้อนที่ล้อรถยนต์ โลหะผสมของล้อแม็กมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี เนื่องจากเป็นตัวนำที่ดี ทำให้ช่วยลดความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่ากะทะล้อแบบเหล็กกล้า


นอกจากข้อดีของล้อแม็กแล้ว ล้อแบบนี้ยังมีข้อเสียกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

1. ล้อแม็กมักจะทำปฏิกิริยากับละอองของเกลือ
2. กะทะล้อแม็ก มักเกิดการสึกกร่อนเกี่ยวกับการแยกตัวทางไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการสัมผัสของเหล็กกล้ากับโลหะเบา แนวทางการแก้ไขโดยการป้องกันการสัมผัสของวัตถุทั้งสองชิ้น โดยการใช้จาระบีทาที่สตัสที่ร้อยยึดกะทะล้อกับดุมล้อ ส่วนในการถ่วงล้อควรใช้กาวติดตัวถ่วงเพื่อป้องกันการสัมผัสกัน
3. กะทะล้อแม็ก ถึงแม้จะมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง แต่เปราะ ดังนั้นเมื่อเกิดการกระแทกหรือการประทะอย่างแรงทำให้เกิดการชำรุดเสียหายได้ง่าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thailandindustry.com

facebook fanpage

latest tweets